28 ต.ค. 2023 เวลา 14:33 • ดนตรี เพลง

[รีวิวอัลบั้ม] For All The Dogs - Drake >>> จ่าฝูง ณ ปลายแถว

-จากแร็ปเปอร์แคนาเดียนผู้มีเป้าประสงค์ชัดเจนในการสร้างความแตกต่างในวงการฮิปฮอปจนประสบความสำเร็จมากที่สุดในแบบที่ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรอีก สู่การเป็นแร็ปเปอร์ที่กำลังเข้าสู่มนุษย์ลุงผู้ยึดติดกับความสำเร็จเก่าๆ เห็นคอมเมนต์ชุมชนฮิปฮอปแล้วดิ้น ผสมปนเปกับความน้อยใจสาวคนไหน แก้ปัญหาด้วยการอัดเพลงระบายในแบบ “จะเอาเดี๋ยวนี้” นึกมุกปั่นๆอันไหนออก จัด diss แบบหมาวัดแม่งเลย ชนิดที่ Pusha T และ Kanye West คงนั่งขำอยู่รำไร
-เชื่อมั้ยว่าปี 2023 เราได้เห็นในสิ่งที่เราไม่คิดว่าจะได้เห็นตั้งมากมาย ทั้งเรื่องดีและไม่ดีปะปนไป ซึ่งก็อิหยังวะซะส่วนใหญ่ เราอยู่ในจุดที่เหตุผลของคนที่เราเคยหมั่นไส้อย่าง Joe Budden กลับมีเหตุผลที่ legit มาทันที และการคอมเมนท์ตอกกลับอันยาวเหยียดกลับกลายเป็นความบ้งที่มากความเสียเอง จนสุดท้ายต้องกลับไปง้อเนี่ยนะ?
-มันคงไม่มีทางอยู่แล้วที่เราจะได้เห็น Take Care 2, Nothing Was The Same 2, Views 2 หรือ If You’re Reading This Volume 2 อีกต่อไป และการปลุก Drake คนเก่าก็คงจะไม่เกิดขึ้นอีกเช่นกัน เพราะวันวานแห่งการพิสูจน์ตนมันจบไปแล้วจริงๆ ขนาด Kanye West ยังบ่นคิดถึง old Kanye แล้วตอนนี้คุณได้เห็น Kanye คนเก่ากลับมารึยังล่ะ ?
-ดูเหมือนกับว่าตัวเลขทางสถิตินั้นไม่มีอะไรมาหยุดยั้งให้ชายคนนี้ได้หยุดความกระหายจริงๆ ตั้งแต่ Scorpion ก็รู้แล้วว่าเริ่มอิ่มตัว การปล่อยผลงานแบบปีชนปีไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของมิกซ์เทปหรือชุดเพลงเก่า สตูดิโออัลบั้มอันแสนฆ่าเวลาก็ทำให้อดตั้งคำถามไม่ได้ว่า “พี่กำลังคิดอะไรอยู่” นอกเสียจาก mindset เชิงพาณิชย์ที่อยู่เหนือกว่าการสื่อสาร chapter ชีวิตที่แลดูมีเป้าประสงค์ของคนวัย 30 ยังจ๋อย แซะหนักสุดเลยคือ หาเงินมาเติมพนันึเปล่าหว่า?
-การเน้นสร้างสถิติเพื่อล้มแชมป์ Michael Jackson ที่มีเพลงฮิตติดอันดับ 1 เยอะที่สุด จนมีท่อน repeat Beat it Beat it เป็นเรื่องเป็นราวใน First Person Shooter ช่างเป็นการชาเลนจ์ที่ไม่ออแกนิคเสียเลย ตอนที่แกประกาศพักเบรค ผมก็ยังไม่เชื่อโดยสนิทใจ ตราบใดที่ยังไม่มีการตัดเน็ตอ่ะนะ
*** นี่อาจจะเป็นรีวิวที่เน้นบ่นมากกว่าวิเคราะห์แต่ละเพลงเลยด้วยซ้ำ ผมดันมองเห็นแต่ปัญหามากกว่าข้อดีจนไม่รู้สึกถึงความเป็น another classic และคงเป็นการ hype ที่ชั่วคราวแบบประเดี๋ยวประด๋าวไปตามระเบียบ
-อย่างแรกคือ ปริมาณแทร็ค จำนวน 20 กว่าแทร็ค(อีกแล้ว) มี interlude แค่ 1 เพลงถ้วนเท่านั้น และเป็น interlude ที่ไม่ได้มาแบบสั้นๆเสียด้วย ความยาวของแต่ละเพลง 3-4 นาทีกว่า นี่พี่คิดจะเสิร์ฟอัลบั้มแบบนี้ให้คนยุคดิจิตอลฟังอีกรึเนี่ย? Run time อัลบั้มเกือบชั่วโมงครึ่งไม่มีอะไรไปมากกว่าการอารัมภบทอันแสนซ้ำซาก คาดเดาได้จนเกินความพอดี สวนทางความต้องการคนฟังที่ตอนนี้เริ่มให้ค่าความกระชับและรวบรัด มากกว่า verse สาธยายรายละเอียดเสียอีก quantities over quality อีกแล้ว
-ในขณะที่การวน topic แห่งการ flex และการเป็นหนุ่มโสดพ่อลูกหนึ่งสุดแสนเปลี่ยวเหงา กลับทำให้เราไม่ได้เห็น character development ที่เพิ่มเติมจากอัลบั้มก่อนแม้แต่น้อย เห็นแต่ความหัวใสในการเห็นช่องว่างของสตรีมมิ่งในการหว่านแหแบบที่ มันต้องมีซักเพลงนึงที่ยิงเข้าเป้าบ้างแหละ การจัดเรียงสตอรี่จะล้นหรือต่อเนื่องรึเปล่าไม่รู้ ที่แน่ๆพี่ขออัพเดทเพลงใหม่ในระบบอัลกอริทึ่มก่อน
-มันก็มีคนที่ชอบฟังอัลบั้มที่มีเพลงเยอะจุใจเหมือนกันนะครับ ผมขอไม่ก้าวก่ายรสนิยมพวกเขาเหล่านั้นล่ะกัน แต่สำหรับผมรู้สึกถึงความล้ามากกว่า fresh เหนื่อยที่จะตะลุย และเชื่อว่า Drake ยุคก่อน Scorpion มันเคยดีกว่านี้ไงครับ ไม่รู้ว่ามีใครรู้สึกเหมือนผมมั้ย ผมเกิดความรู้สึกว่าการจัดกลุ่ม vibe โหมดเพลงแร็ป โหมดเพลงช้าจังหวะเนิบๆ แทบไม่ต่างจาก Scorpion เลยฮะ ถ้าใครไม่ชอบอัลบั้มนั้น คุณน่าจะไม่ชอบ FATD ฉันท์นั้น
-อย่างที่สอง คือ การไหลไปตามกระแสจนเกินไป นี่ขนาดคนที่ไปตีซี้ด้วยอย่าง Lil Yatchy ออกมาแสดงความเห็นไว้ว่า Very Current ซึ่งก็ถูกของมัน ไม่ผิดหรอกที่จะตามกระแส แต่มันทำให้ไม่บังเกิดความ new original เนี่ยดิ โดยเฉพาะแขกรับเชิญที่ดูก็รู้ว่าเชิญมาเพื่อไม่ให้ตัวเองตกขบวนเสียมากกว่า
-อาทิเช่น IDGAF ที่ไปเชิญ YEAT มาฟีทนั้นก็ดูเหมือนว่าจะโดนบริบท rage rap ของ YEAT กลืนกินเสียมากกว่า ตามกระแสเด็ก Gen Z นั่นแหละ การออกมาฝึกเอื้อนภาษาสเปนเอาใจชาว Puerto Rico ในเพลง Gently ร่วมกับ Bad Bunny ผู้เป็น Drake 2 เอ้ย! ซุปตาร์ที่ดังชิบหาย ณ เวลานี้ เป็นการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมทางภาษาที่ฉาบฉวยไปหน่อย
-การเชิญ SZA มาร่วมแจมประหนึ่งลงล็อคกระแสการกลับมาที่ดีเกินคาดใน SOS ประจวบเหมาะกับ เห้ย! พี่เคยเป็นข่าวเดทกับน้องนี่หว่า พี่จิ้มเลือกน้องมาแจม 2 เพลงไปเลย Slime You Out ที่เป็นอาร์แอนด์บีสุดแสนจะอืดอาดคุ้นเคยตามสูตรเฉพาะของพี่ การที่ Joe Budden ออกมารีวิวเพลงนี้ว่า เป็นเพลงฮิตแค่ชั่วคราว ยิ่งถูกต้องอีกเช่นเคย
-อีกทั้งยังให้ไป twerk ร่วมกับ Sexyy Red ซึ่งการมาของเธอนั้นเป็นที่รู้จักในความฉาว nasty มากกว่าผลงานเพลงอย่างจริงจัง ดันได้เป็นผู้ถูกเลือกให้มาเรียกแขกในเพลง Rich Baby Daddy ผมขอคาดการณ์เลยว่า เพลงนี้ทำมาเพื่อขายชาเลนจ์ใน TikTok ชัดๆ อาจจะมีการปั่นกระแสด้วยการปล่อยเอ็มวีเมื่อกระแสเริ่มซาก็เป็นไปได้
-ซ้ำร้ายคือการเชิญเจ้าพ่อฮิปฮอปสาย drill อย่าง Chief Keef มาเป็นตัวล่อในเพลง All The Parties ซึ่งก็ไม่ได้บังเกิดความ special แต่อย่างใด เพราะมาแค่จึ๋งเดียว น่าผิดหวังประหนึ่งวลี “เพื่อการโฆษณา” มากกว่า “เพื่อความบันเทิง” ในแบบที่ไม่ต้องเปิดหน้า feature ก็ได้มั้ง
-ส่วน Lil Yachty ที่โคตรสนิทเป็นพิเศษ ตั้งแต่หันกลับมาสวมหมวกฮิปฮอป ยังไม่สามารถเพิ่มความพิเศษใดๆในเพลงตระเวนท่องราตรี Another Late Night ยิ่งเห็นข่าวที่ Lil Yachty ออกมาแยปเรื่อง collaboration album ผมก็แอบหวั่นในความแป้กเหมือนกัน Lil Yachty ไม่ใช่สายแข็งเหมือน Future และ 21 Savage มากนัก
-ในขณะที่ Teezo Touchdown กลับมีความโชคร้ายอยู่ ทั้งๆที่ปีนี้เขาควรได้เฉิดฉาย อย่างที่ได้รับการ co-sign จาก Drake มาโดยตลอด กระแสเดบิวต์อัลบั้ม How Do You Sleep At Night? กลับเงียบกริบ ทั้งๆที่ปล่อยหลังจากที่ตัวเองได้รับเชิญให้ไปฟีทใน MODERN JAM ของ Travis Scott หนำซ้ำนักวิจารณ์ก็ไม่อวยอัลบั้มนี้เสียด้วย
-และการมาแจมกับป๋าดันใน FATD 2 เพลงด้วยกัน ดันมาในวาระที่พลังแห่งการ co-sign ของ Drake ไม่ร้อนแรงเหมือนสมัย Nothing Was The Same ที่ทำให้คนรู้จัก Jhene Aiko และ Sampha หรือในช่วง More Life ที่ดันทั้ง Jorja Smith และ Skepta จนคนตามไปฟังในเวลาต่อมา และตัวเพลงนั้นแทบส่งพลังแห่ง charisma ให้รุ่นน้องได้เฉิดฉายมากนัก ทั้ง Amen และ 7969 Santa โดยเฉพาะเพลงหลัง Teezo น่าจะถูกจดจำไปทางมีมตลกมากกว่า ตรงที่โชว์พลังการหอนเนี่ยแหละ
-ตัวอย่างดีๆก็พอมีบ้าง ใช่ว่าจะไม่มีเลย แต่นั่นก็เป็นแค่ช่วงออกสตาร์ทของอัลบั้มก็เท่านั้น การแซม drill ผสม trap ในเพลง Calling For You ที่ดุดันและกวนส้นตีนใช้ได้ โดยเฉพาะ 21 Savage แถมดูดีกว่าบางเพลงใน Her Loss เสียอีก
-Virginia Beach เพลงเปิดอัลบั้มถือว่าดูดีสุดเมื่อเทียบยุค Scorpion เป็นต้นมาล่ะ ซึ่งไม่รู้ว่าการตั้งชื่อเพลงบังเอิญหรือจงใจ reference บ้านเกิดของ Pusha T แต่บริบทของเพลงแทบไม่มีการเหน็บแนมใดๆ นอกจากเปรียบเปรยหญิงสาวที่สวยงามราวชายหาด แต่ก็แอบซ่อนความบ้านๆของคนท้องถิ่นที่ส่วนใหญ่ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยมากมายนัก
-Fear Of Heights เนี่ย โคตรแห่งความน้อยใจเลยฮะ อดคิดไม่ได้ว่าแอบแซะ Rihanna อยู่เหมือนกันนะ โดยเฉพาะท่อน Better him than me / Better it's not me / I'm anti, I'm anti / Yeah, and the sex was average with you / Yeah, I'm anti 'cause I had it with you อย่างไรก็ดีบีทของ BNYX เป็นความซ่าที่สุมไฟแห่งความเดือดอยู่ไม่น้อย เช่นเดียวกันกับ Daylight ที่ดุดันไม่เกรงใจใครใช้ได้
-Away From Home บีทเพลง Benny X ให้บรรยากาศ night vibe ที่คลอความเงียบเหงาด้วยเสียงจี่คล้ายๆจั๊กจั่น ไม่ค่อยได้เห็นความ personal ฟีลแบบนี้เหมือนกันครับ ถึงโฟลว์การแร็ปเริ่มพลิกฟื้นความจริงจังเอาตอนช่วงปลายอัลบั้มแล้วก็ตาม แต่นี่คือเพลงที่บ่งบอกความเป็น For All The Dogs หรือ miss the old Drake ได้มากที่สุดแล้ว
-มันเป็นการ recap ช่วงชีวิตที่เริ่มต้นจากศูนย์ เปลี่ยนผ่านจากการเคยใช้ชีวิตนอนในรถ ห้องชั้นใต้ดินกับเพื่อนๆ สู่คนที่อยู่คฤหาสน์ เผชิญหน้าความยากลำบากในการบาลานซ์ชีวิตชื่อเสียงเสียจนเริ่มคิดถึงมิตรภาพจากเพื่อนเก่าก่อนที่ตัวเองมีชื่อเสียง ซึ่งก็ไม่ต่างจากมนุษย์วัย 30 ที่อยู่ดีๆก็รำลึกถึงความหลังในอดีตนั่นแหละครับ
-ถ้าไม่พูดถึงเพื่อนเก่าที่มาพร้อมๆกันอย่าง J .Cole ก็กะไรอยู่ อีกหนึ่งแร็ปเปอร์ผู้ทรงอิทธิพลคนปัจจุบันก็มาแจมในช่วงที่แกอ้าแขนรับงานฟีททั่วราชอาณาจักร ถ้าถามว่าการกลับมารียูเนียนของทั้งคู่เป็นสิ่งที่สมการรอคอยหรือไม่?
-สำหรับผมพลังแห่งการรวมตัวในเพลง First Person Shooter อาจจะไม่ว้าวในเชิงใส่ความเดือดดาลเอาเป็นเอาตายมากนัก แต่ก็ยินดีฮะที่ยังหาโมเมนต์แห่งการประสานพลัง (อวยกันเอง) ให้สาวกฮิปฮอปได้ hype กันบ้าง โดยยึดคติ now or never นั่นแหละ ถือว่าโคตรคูลพอสมควรเลยฮะ ในพาร์ทแห่งการ switch beat ของเจ้าของเพลง เหมือนแก้มือที่ตัวเองอดมี verse ในพาร์ทสุดท้ายเพลง MELTDOWN ของ Travis Scott ฟีลบีทตึงๆคล้ายกันเลยฮะ
-การมาแจมของลูกตัวเอง Adonis Graham มาพ่นแร็ปเด็กน้อยในเพลง Daylight ถือว่าเป็น exception สำหรับผมเหมือนกันนะ ไม่เปิดหน้า feature แถมยังเป็นกิมมิคที่ดันสอดรับกับบริบทปกอัลบั้มรูปหมาที่เด็กมันวาดให้พ่อเอาไปเป็น official cover art ด้วยล่ะ
-โมเมนต์สั้นๆจาก Snoop Dogg ที่มาเป็น radio host BARK Radio ในเพลง 7969 Santa กลับกลายเป็นความน่าจดจำด้วยพลังแห่งไอคอนที่หากนึกถึง “หมาแก่” ในวงการฮิปฮอป ต้องเป็นเขาคนนี้ the one and only แต่น่าเสียดายที่การฉาบวัฒนธรรมจิงเกิ้ลวิทยุนั้น ถูกนำมาสอดแทรกได้อย่างฉาบฉวยมากๆ และโดนกดทับด้วยเซ็ตเพลงอืดอาดไม่น่าจดจำมากพอสมควร
-ส่วน Screw The World (Interlude) ที่เอาคลิปเสียง freestyle ของ DJ Screw ที่แร็ปบนบีท If I Ruled The World ของ Nas เอามา chop and screw ขมุกขมัวเบลอๆ เป็นความตุบตับที่เพิ่มความเร้าใจในช่วงกลุ่มโหมดเพลงช้าได้พอสมควร จะเห็นได้ว่า Drake เนี่ยโคตรรักเมือง Houston เอามากๆ ถ้าใครยังจำได้ แกเคยมีเพลง TSU ที่พูดถึงหญิงสาวมหาลัยในชื่อย่อเดียวกันกับชื่อเพลง หาเลี้ยงชีพด้วยการเต้นเปลื้องผ้า ซึ่งท้องเรื่องก็อยู่ในเมือง Houston ในขณะที่ DJ Screw ก็เป็น Houston native เช่นกัน
-เดี๋ยวจะหาว่าผู้เขียนคาดหวัง rap mode จนโยนความผิดให้กับโหมด Pop Rap ช้าๆ นั่นอาจด่วนตัดสินผู้เขียนไปหน่อย ผมเองก็พอชอบเพลงช้าอยู่บ้าง แต่ค่อนข้างน้อยอ่ะนะ ซึ่งผมชอบ Tried Our Best มากสุด เนื่องด้วยเซนส์ป็อปที่หลงเหลืออยู่บ้าง ถึงจะแอบเชยตามสไตล์ชายโสดที่พยายามมูฟออน หากลองสังเกตในท่อนฮุก Treated you Treated you ให้ความรู้สึกเหมือนคนกำลังฮัมเพลง ตื้ดดือดือ ตื้ดดือดือ อะไรพรรค์นั้น เพื่องัด lyrics ออกมา จนจบด้วย Treated you Treated you ได้อย่างเข้าทีเนี่ยแหละ
-อีกทั้งการเปรียบเปรย word play ที่บ่งบอกถึงไลฟ์สไตล์ที่ต่างกันด้วย ยกตัวอย่างเช่น เธอน่ะเห่อมอยอยากขอให้ซื้อแบรนด์เนม YSL (Yves-Saint Laurent) แต่ภายหลังเธอกลับไม่เคยสนใจในตัวตนที่แท้จริงของคนที่ดันมีเพื่อนเป็นเจ้าของค่าย YSL (Young Stoner Life Records) อย่าง Young Thug เป็นต้น
-8am In Charlotte เพลงที่ถูกตัดมาเป็นซิงเกิ้ล อันเป็นเพลงที่ 6 ในซีรี่ย์ AM/PM ถึงแม้ว่าจะได้ Conductor Williams (พีดีประจำ Griselda) มาโปรดิวซ์ให้ แต่ผมทำใจคล้อยตามไม่ได้จริงๆ เพราะโฟลว์สุดขี้เกียจเนี่ยแหละ มันเลยทำให้บีทอันมีคลาสกลับหนืดเป็นพิเศษ ยิ่งอยู่ในเซคชั่นเพลงช้าซะด้วย หลับใส่เลยฮะ ก่อนหน้านั้นผมเจออะไรยืดยาดเยอะมากทั้ง Drew A Picasso ที่ไม่น่าเกี่ยวไรกับปิกัสโซ
-Members Only ทุกครั้งที่เห็นชื่อแขกรับเชิญ PARTYNEXTDOOR ทำใจเตรียมหมอนได้เลยฮะ ซ้ำร้ายเราได้เห็นการอัมภบทของเจ้าของเพลงที่ไหลไปเรื่อยแบบจบไม่สนิทจนน่ารำคาญมากกว่าเข้าใจในความรู้สึกที่อยากจะระบายบางอย่าง
-การปิดท้ายด้วยวลี “ความรักทำให้เป็นไบโพล่าร์” ในเพลง Polar Opposites เป็นการพยายามทำความเข้าใจความรักความสัมพันธ์ในมุมมองที่โคตรจะผู้ชายในแง่ที่เพิ่งระลึกได้ว่า ผู้หญิงคือสิ่งมีชีวิตที่งอนเก่งสุดๆ ซึ่งก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการเป็นไอ้หนุ่มนักรักคนเดิมเนี่ยแหละ
-ผมก็เพิ่งรู้ว่ามันมีศัพท์ Drake-ism ที่บ่งความเป็น Drake ในแง่ของการเป็นแร็ปเปอร์ที่พรรณนาเรื่องความรัก เสพ meme เป็นอาจิน แทบเรียกได้ว่า lyrics เปรียบเปรยของ Drake ในยุคหลังๆช่างตามกระแสโซเชี่ยล relate pop culture ที่เป็นกระแสมาในช่วงนั้นมาโดยตลอด
-อีกทั้งยังเป็นแร็ปเปอร์ที่หยิบจับอะไรที่โคตรไม่ related ไปเรื่อยเปื่อย โดยเฉพาะปกอัลบั้มอันแสนจะเชยและไม่ดึงดูดให้ไปฟังมากนัก ไอ้ความ “พี่คิดอะไรของพี่วะ?” ไม่ใช่สภาวะ cliffhanger ที่จำเป็นในการตีความต่อ เพราะเราคงไม่ได้อะไรจากงานศิลปะชิ้นนี้ ส่วนปก FATD ขอเป็นข้อยกเว้นในแง่ของเด็กมันวาด ซึ่งก็คูลดีฮะ ไม่ผิดที่จะใส่ความเป็นตัวของตัวเองลงในงานเพลง แต่ผิดพลาดตรงที่ความเป็นตัวเองนั้นควรมีอะไรที่น่าเชื่อถือและคิดมาดีกว่านี้
-จบด้วยคำถามเดิมเลยครับว่า คุณยังคิดถึงหรือกลับไปฟัง Scorpion, Dark Lane Demo Tape, CLB, Honestly, Her Loss อีกหรือไม่? เมื่อเวลาผ่านไป FATD อยู่ในชุดคำถามนี้เช่นกัน ด้วยผลแห่งการหยิบจับคอนเทนท์ทางความรู้สึกอันชั่ววูบมากกว่าการให้เวลาเปลี่ยนผ่านทางความรู้สึกให้มากกว่านี้
-ผมว่าคนฟังยุคนี้ตื่นรู้แล้วครับว่า เพลงแบบไหนคือความบันเทิงที่เหมาะสมแก่จริตจริงๆ ยอดเปิดตัวจาก 600K จนถึง 400K ไปจนถึงสถิติการเปิดตัวบางซิงเกิ้ลที่โคตรมาแรงในตอนแรกๆ แล้วหล่นตุ๊บหลายอันดับ ใครที่ปล่อยถี่ปีชนปีและยังคาดเดาได้ง่ายแบบนี้ คงจะถูกลืมโดยง่ายตามระเบียบ
นี่ไม่ใช่ For All The Drizzy’s OG แน่นอน
Top Tracks: Virginia Beach, Calling For You, Fear of Height, Daylight, First Person Shooter, Tried Our Best, Screw The World, Away From Home
Give 5/10
Thx 4 Readin’
See Y’all
โฆษณา