3 พ.ย. 2023 เวลา 01:47 • ปรัชญา
..อยู่กับอารมณ์ก็ไม่รู้จักอารมณ์ อยู่กับกรรมก็ไม่รู้จักกรรม..
ทุกข์กายทุกข์ใจ ทุกข์ของจิตที่อาศัยในเรือนกาย พอกายเจ็บป่วย จิตก็ต้องทุกข์ทรมานไปตามกาย จิตยึดมีความยึดถือกาย ยึดในสิ่งที่เกิดขึ้นในเรือนกาย กายที่มีรูปร่างเป็นมนุษย์หญิงชาย หน้าตา ดำขาว ไม่เหมือนกันเลย
จิตที่อาศัยในเรือนกาย ..เป็นทาสของอารมณ์ ..นำพากายไปทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ มีอารมณ์นำพาจิตไปยึดสิ่งนี้ อารมณ์ที่ปรุงแต่งมีทั้งที่เกิดขึ้นภายในกาย มีทั้งอารมณ์ที่นำพาจิตไปยึด เช่น ตาไปเห็นเพชรแวววาว สวยงาม ก็อยากได้ ..ยึดถือนั่งคิดนอนคิด ทำอย่างไรดึงจะได้ ..พอไม่ได้ ก็รู้สึกเสียใจ เหมือนเด็กอยากได้ของเล่น พอไม่ได้ก็ร้องไห้
..นั่นก็คือ ..อารมณ์ที่นำพาไปยึดถือสิ่งนั้นสิ่งนี้ ยึดวัตถุสิ่งของ ยึดสิ่งที่มีชีวิตไม่มีชีวิต พอไปยึดก็อยากได้อยากมี อยากให้ได้ สมปรารถนา …พอไม่ได้ก็โศกเศร้าเสียใจ เสียใจก็ร้องไห้ ดีใจก็ร้องไห้
เรื่องอารมณ์นั้นนำพา..กรรมนั้นเข้ามาสู่จิต ..มันเป็นเหมือนดินโคลนสะสมลงไปในกาย ในธาตุทั้งสี่ .สะสมไปเรื่อยๆ .ตลอดเวลาตั้งตื่นนอน..ไปจนถึงเวลานอน..มันมีการสะสม..ไปเรือยมีการใช้กายวาจาใจ ที่ไปสร้างกรรม นำเข้ามาในกาย แล้วจิตแต่ละดวงก็สะสมกรรมมาไม่เหมือนกันเลย
กรรมนั้นสะสมอยู่ที่ธาตุทั้งสี่ ที่จะปล่อยออกมา เป็นอารมณ์ เช่น..กรรม ที่เรายึดถือ ..เพชรเม็ดหนึ่งที่เราหามาได้ พอมันหายไป ก็เดือดร้อน วุ่นวายจากอารมณ์..ที่ไหลออกมาจากธาตุทั้งสิ่ง อารมณ์ก็ปรุงแต่งตัวโศกเศร้าเสียใจ ยึดอยู่กับเพชรเม็ดนั้น ..จิตมันยึดถือ ยึดกรรมอยู่ กรรมนั้นเป็นของหนักของร้อน พอจิตมันยึด ..กรรม ยึดของหนัก ของร้อน จิตก็ต้องรับทุกข์
จิตนั้นเป็นนามธรรม ..อารมณ์ก็เป็นนามธรรม..มีน้ำหนัก มีพิษ แสบร้อน ทำให้ธาตุเรือนกายเป็นพิษขึ้นมาได้ ..พอธาตุในเรือนกายเป็นพิษ เลือดลมก็หมุนเวียนไม่ปกติ ปวดเมื่อย เจ็บตรงนั้นตรงนี้ เหมือนแบกของหนัก ถูกเฆี่ยนตี .. ปวดหัวเวียนหัว ก็เพราะอารมณ์ ..ที่เกิดขึ้น สะสมแต่กรรม เหมือนสะสมควันพิษเข้ามาในเรือนกาย แล้วจะไม่ทุกข์ทรมานได้อย่างไร ในเมื่อจิตนั้นอาศัยในเรือนกาย..เค้าจึงมีคำว่า ..อยู่กับอารมณ์ก็ไม่รู้จักอารมณ์เลย..
คนเรานั้น พูดความอารมณ์ได้ทุกคน ..แต่ก็ไม่สามารถเข้าไปถึงที่มาที่ไปของอารมณ์ ไม่สามารถเห็นน่าตาของอารมณ์ได้เลย มีวิธีที่จะศึกษาอารมณ์ เป็นมะโนทะศึกษา ก็ต้องอาศัยรอยทั้งสี่ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ..เอากายบิดามารดามาฝึกหัด ให้ไปปลุกสติ ปลุกจิตให้ตื่นขึ้นมา .ดูอารมณ์ที่ปรุงแต่งเรือนกาย ปรุงแต่งจิตให้หลงใหล..จิตจะได้รู้จักพิษของอารมณ์ ความทุกข์ทรมานที่อารมณ์ นั่นทับจิตอยู่ ..ปกปิดไม่ให้รู้จักอารมณ์ กดทับจิตให้นอนหลับใหล..ทำไปตามอารมณ์ที่ปรุงแต่งในเรือนกาย..เหมือนอยู่ในคอก..มีอาหารของจิตเป็นอารมณ์
แล้วจิตเราเกิดมา..ก็ต้องตกเป็นทาสของอารมณ์..ไปทุกข์ชาติ ทุกข์กายทุกข์ใจ ก็เพราะอารมณ์กรรมในกายของตนเอง หลอกให้เห็นว่าตนเองดีแล้ว รักใครก็ไม่เสมอด้วยชีวิตตนเอง คือเรือนกาย ที่มีเกิดแก่เจ็บตาย..
เรื่องราวของอารมณ์ ยุคที่วิทยาศาสตร์เจริญ วัตถุเจริญ..เครื่องมือที่ว่าดีๆ ..มีเทคโนโลยีอะไรต่างๆมากมาย ..ก็เข้าไปศึกษา จับต้องไม่ได้เลย ..ในสิ่งที่เป็นนามธรรม ..จิตและอารมณ์กรรม..ทำไมต่างคนต่างมีกรรมไม่เหมือนกันเลยน่ะ.. ด้วยเพราะเหตุอันนี้แหละ ที่ท่านบอกว่า จงมีธรรมเป็นที่พึ่งของจิต ให้สร้างบุญกุศลบารมี ..เพื่อปลดปล่อยทุกข์ปลดเปลื้องอารมณ์กรรมออกไปจากจิต..แล้วอย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย ..มีธรรมเป็นที่พึ่ง มีแก้วรัตนะ พระพุทธ พระธาตุ พระสงฆ์ (พระอรหันต์ อัครสาวก เช่น พระโมคคัลลา พระสารีบุตร)
โฆษณา