23 มี.ค. เวลา 23:10 • ประวัติศาสตร์

วันศุกร์ ที่ 22 เดือนรอมฎอม ฮ.ศ. 1441 : อ้างอิงวันที่จากเพจประวัติศาสตร์อิสลาม

การพิชิตนครมักกะฮ์ : 20 เดือนรอมฎอม ฮ.ศ. 8
: สาเหตุของการพิชิต :
หลังจากที่ได้ทำข้อตกลงประนีประนอม ณ �ฮุดัยบียะฮ์� ได้ประมาณ 18 เดือน ได้เกิดสงครามระหว่างชาวอาหรับตระกูลคุซาอะฮ์ซึ่งเป็นมิตรของมุสลิม กับชาวอาหรับตระกูลบนีบักร์ ซึ่งร่วมกับชาวอาหรับตระกูลกุเรชมุชริก โดยชาวอาหรับตระกูลกุเรชมุชริกเข้ามาแทรกแซงและให้การสนับสนุนในการทำสงคราม แต่ตามเงื่อนไขของสนธิสัญญาประนีประนอมที่ “ฮุดัยบียะฮ์” ได้บ่งบอกไว้ว่า �
1
“การละเมิดใดๆก็ตาม ที่มีต่อพันธมิตรของมุสลิม ให้ถือว่าเป็นการละเมิดสนธิสัญญาที่ได้ทำกันไว้�”
เพราะฉะนั้น จึงถือว่าชาวอาหรับตระกูลกุเรชมุชริกได้ทำผิดสนธิสัญญาประนีประนอม ด้วยเหตุนี้ท่านเราะซูล ได้ให้ความช่วยเหลือชาวอาหรับตระกูลคุซาอะฮ์ ทันทีที่พวกเขาร้องขอความช่วยเหลือมา
: บรรดามุสลิมได้เคลื่อนทัพสู่นครมักกะฮ์ และทำการพิชิตนครมักกะฮ์ :
ชาวอาหรับตระกูลกุเรชมุชริกรู้สึกเสียใจต่อการเข้าไปรุกรานพันธมิตรของท่านเราะซูล พวกเขาจึงส่งท่านอบูซุฟยานไปหาท่านนบีมูฮัมหมัด ซล. เพื่อยืนยันในข้อตกลงสงบศึก แต่ในการเจรจาได้รับความล้มเหลว
ท่านอบูซุฟยาน จึงได้เดินทางกลับนครมักกะฮ์อย่างผู้ผิดหวัง ท่านเราะซูล ซล. ได้มีคำสั่งให้บรรดาซอฮาบะฮ์เตรียมพร้อมเพื่อออกเดินทาง โดยที่มิได้แจ้งให้ทราบถึงทิศทางที่จะไป จนเมื่อกำหนดเวลามาถึง ท่านเราะซูล ได้แจ้งให้บรรดาซอฮาบะฮ์ทราบถึงความประสงค์ที่จะไปทำสงครามที่นครมักกะฮ์ ท่านต้องการจู่โจมชาวกุเรชมุชริกอย่างกระทันหันโดยไม่ให้ระวังตัว เพื่อจะได้ยอมจำนนโดยไม่มีการต่อสู้กัน
บรรดามุสลิมได้ออกเดินทางไปกับท่านเราะซูล ในวันที่ 10 เดือนรอมฎอน ฮ.ศ. 8 โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 10,000 ท่าน ซึ่งเป็นเหตุการณ์หลังจากเกิดสงครามบะดัรแค่เพียง 6 ปี กับอีก 2 วันแห่งฮิจญ์เราะฮ์ศักราช ในวันที่พิชิตนครมักกะฮ์
เมื่อบรรดามุสลิมเดินทางเข้ามาใกล้นครมักกะฮ์ ท่านอบูซุฟยานได้มองเห็นกองทัพของมุสลิมในขณะที่ท่านอบูซุฟยานกำลังลาดตระเวนอยู่ กองทัพของมุสลิมกว่า 10,000 นาย นี่เป็นจำนวนทหารมุสลิมที่ใหญ่ที่สุดในสมัยนั้น หลังจากนั้นท่านนบีมูฮัมหมัด ซล. ได้นำกองทัพตั้งค่ายที่มัรรุซ-ซะฮ์ราน โดยห่างจากมักกะฮ์ไป 10 ไมล์ทางตะวันตกเฉียงเหนือ แล้วสั่งให้ทหารจุดไฟให้ห่างๆ รอบมักกะฮ์ เจตนาเพื่อที่จะทำให้ชาวมักกะฮ์หวาดกลัว
ในขณะเดียวกัน ท่านอบูซุฟยาน อิบน์ ฮัรบ์ กำลังกลับไปที่มักกะฮ์ ตามรายงานเขียนว่าเขาพบกับท่านอับบาซ ซึ่งเป็นลุงของท่านนบีมูฮัมหมัด ซล. โดยบังเอิญด้วยในระหว่างเดินทางกลับเข้านครมักกะฮ์
นครมักกะฮ์ตั้งอยู่ในเทือกเขาอิบรอฮีม และหุบเขาสีดำที่อาจจะสูงประมาณ1,000 ฟุต (300 เมตร)ในบางพื้นที่ โดยมีทางเข้านครมักกะฮ์อยู่ 4 เส้นทาง และท่านนบีมูฮัมหมัด ซล. ได้แบ่งกองทัพเป็น 4 กองทัพเข้าตามเส้นทางดังนี้คือ :
1. ทางตะวันตกเฉียงเหนือ : ท่านอบูอุบัยดะฮ์ อิบน์ อัล-ญัรรอฮ์ เป็นผูนำทัพ
2. ทางตะวันตกเฉียงใต้ : ท่านอัซซุบัยร์เป็นผู้นำทัพ
3. ทางใต้ : ท่านอะลี เป็นผู้นำทัพ
และ 4. ทางตะวันออกเฉียงเหนือ : ท่านคอลิด อิบน์ วะลีด เป็นผู้นำทัพ
หลังจากแบ่งกองทัพแล้ว ท่านนบีมูฮัมหมัด ซล. จึงสั่งให้รีบเดินทัพเข้าสู่นครมักกะฮ์ เพื่อเรียกร้องให้ชาวมักกะฮ์ยอมจำนน และห้ามมิให้ทำการต่อต้านใดๆ
และท่านเราะซูล ซล. ออกคำสั่งห้ามมิให้สังหารผู้ใด เว้นแต่จะมีคนต่อสู้ขัดขวางและสังหารมุสลิมก่อน
กองทัพมุสลิมเคลื่อนทัพเข้าสู่นครมักกะฮ์ โดยที่ชาวมักกะฮ์ ได้ทำการต่อต้านกองทัพมุสลิมด้านเส้นทางตะวันออกเฉียงเหนือที่มีท่านคอลิด อิบน์ วะลีด เพียงด้านเดียวเท่านั้น
ท่านนบีมูฮัมหมัด ซล. ขณะที่กำลังเข้าสู่นครมักกะฮ์ ท่านนบีเข้าไปอย่างสำรวมนอบน้อมต่อพระผู้เป็นเจ้า ท่านมิได้เข้าไปเหมือนดังกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ หรือต้องการจะทำการแก้แค้นศัตรู ทั้งๆที่มุสลิมได้ประสบกับความเจ็บปวด การถูกทำร้าย ถูกรังแกจากชาวมักกะฮ์มากมายทั้งก่อนและหลังการอพยพ ท่านนบีมูฮัมหมัด ซล. ได้ประกาศว่า
“ให้ความปลอดภัยแก่ทุกคนที่อยู่ในบ้านเรือนของตน
และใครก็ตามที่เข้าไปในบ้านของอบูซุฟยาน เขาผู้นั้นจะได้รับความปลอดภัย
ผู้ใดวางอาวุธ เขาก็เป็นผู้ที่ปลอดภัยเช่นกัน”
หลังจากที่ท่านนบีมูฮัมหมัด ซล. ได้พิชิตและชาวเมืองนครมักกะฮ์ได้ยอมจำนนแล้ว ท่านนบีมูฮัมหมัด ซล. และผู้ติดตามได้มาที่ “กะอ์บะฮ์”
ท่านนบีมูฮัมหมัด ซล. ได้สั่งทำลายรูปปั้นรูปเคารพต่างๆของชาวกุเรชมุชริก ในขณะที่รูปปั้นรูปเคารพได้ถูกทำลายหมด ท่านนบีมูฮัมหมัด ซล. ได้อ่านอายะฮ์นึงของคัมภีร์อัลกุรอาน ความว่า
وَقُلْ جَاءَ الْحَقُّ وَزَهَقَ الْبَاطِلُ ۚ إِنَّ الْبَاطِلَ كَانَ زَهُوقًا
“ และจงกล่าวเถิด เมื่อความจริงปรากฏขึ้นและความเท็จย่อมมลายไป แท้จริงความเท็จนั้นย่อมมลายไปเสมอ “
ซูเราะห์อัลอิสรออ์ อายะที่ 81
ผู้คนเริ่มมาชุมนุมกันที่กะอ์บะฮ์ และท่านนบีมูฮัมหมัด ซล. ได้กล่าวว่า :
“ไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากเอกองค์อัลลอฮ์เพียงพระองค์เดียว พระองค์ทรงทำสัญญาของพระองค์เป็นจริงแล้ว และได้ช่วยเหลือบ่าวของพระองค์
พระองค์เท่านั้น ที่ทำลายพวกสมรู้ร่วมคิดไปแล้ว ต่อไปนี้พิธีกรรม อภิสิทธิ์ การอ้างสิทธิ์ที่จะล้างแค้นตอบแทน และการจ่ายสินไหมทดแทนอยู่ใต้เท้าของฉัน ยกเว้นการดูแลกะอ์บะฮ์ และการให้น้ำแก่ผู้มาทำฮัจญ์ ภายใต้สถานที่ศักดิสิทธิ์แห่งนี้ แม้แต่การตัดต้นไม้ก็ไม่เป็นที่อนุญาต
ชาวกุเรชทั้งหลาย เอกองค์อัลลอฮ์ ซบ. ได้ทรงลบล้างการเคารพกราบไหว้เจว็ดบูชา และความทะนงในเชื้อสายแล้ว เพราะมนุษย์ทุกคนคือลูกหลานของอาดัม และอาดัมถูกสร้างมาจากดิน”
ท่านเราะซูลได้ประกาศต่อหน้ากลุ่มชนชาวกุเรชที่อยู่ในสภาพกระวนกระวายใจอีกว่า :
“ท่านทั้งหลายคิดว่าฉันจะทำอย่างไรกับพวกท่าน ?�”
พวกเขากล่าวว่า : “ท่านจะต้องทำในสิ่งที่ดีแน่ๆ เพราะท่านเป็นคนมีเมตตา และเป็นลูกของคนมีเมตตา�
ท่านเราะซูล กล่าวว่า :
“วันนี้ จะไม่มีการตำหนิติเตียนต่อพวกท่านแต่ประการใด เพราะอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา จะทรงอภัยโทษให้แก่พวกท่าน�”
ท่านเราะซูล ได้ให้อภัยแก่ชาวมักกะฮ์ เว้นแต่คนที่ทำผิดข้อสัญญาและข้อตกลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า พวกเขายังล่วงละเมิดด้วยการเยาะเย้ยถากถางท่านนบี และศาสนาของอัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ท่านนบีจึงสั่งให้ประหารพวกเขาเหล่านั้น และได้ออกคำสั่งทำลายรูปบูชารูปปั้นทั้งหมด และชำระล้างมัสญิดฮะรอมให้สะอาดบริสุทธิ์จากรูปบูชาเหล่านั้น
หลังจากนั้นท่านเราะซูล ได้ส่งซอฮาบะฮ์ไปทำลายรูปบูชาของเผ่าอื่นๆด้วย การพิชิตนครมักกะฮ์ และการให้อภัยชาวมักกะฮ์ทั้งหมด ทำให้พวกเขาเข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม การต่อต้านจึงได้ยุติลง
: ผลสำเร็จของการพิชิตมักกะฮ์ :
การพิชิตนครมักกะฮ์ เป็นการเผชิญหน้าครั้งสุดท้ายกับพวกปฏิเสธศรัทธาชาวกุเรช และด้วยการยอมจำนน ทำให้อุปสรรคที่กีดขวางแนวทางของอิสลามต้องหมดสิ้นไป มีชาวอาหรับตระกูลต่างๆ คิดว่าจะต้องมีการต่อสู้ระหว่างท่านนบีมูฮัมหมัด ซล. กับชาวกุเรชมุชริกเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่เมื่อการต่อต้านของชาวกุเรชมุชริกยุติลงแล้ว และพวกเขาได้เข้ารับอิสลาม ชาวอาหรับตระกูลอื่นๆจึงทยอยกันเข้ารับนับถือศาสนาอิสลามด้วยเช่นกัน
 
ในกรณีเหตุการณ์เหล่านี้ เอกองค์อัลลอฮ์ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ประทานโองการลงมา ความว่า :
إِذَا جَاءَ نَصْرُ اللَّهِ وَالْفَتْحُ
เมื่อความช่วยเหลือของอัลลอฮฺ และการพิชิตได้มาถึงแล้ว
وَرَأَيْتَ النَّاسَ يَدْخُلُونَ فِي دِينِ اللَّهِ أَفْوَاجًا
และเจ้าได้เห็นประชาชนเข้าในศาสนาของอัลลอฮฺเป็นหมู่ ๆ
فَسَبِّحْ بِحَمْدِ رَبِّكَ وَاسْتَغْفِرْهُ ۚ إِنَّهُ كَانَ تَوَّابًا
ดังนั้น จงแซ่ซ้องสดุดีด้วยการสรรเสริญพระเจ้าของเจ้า และจงขออภัยโทษต่อพระองค์เถิด แท้จริงพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษเสมอ
ซูเราะฮ์อันนัศร์ อายะห์ที่ 1 - 3
ข้อมูลจาก : เว็ปเพจอิสลามมอร์ และวิกีพีเดีย
โฆษณา