ในทางกลับกัน Softbank บังคับให้ Adam สัญญาว่าจะไม่ลาออกไปไหน และ ห้ามไม่ให้มาเปิดบริษัทแข่งด้วย ซึ่งหากรายได้ของ WeWork เพิ่มขึ้นเป็น 5 หมื่นล้านดอลลาร์ในอีก 5 ปีข้างหน้า นั่นจะทำให้แผนการ Fortitude ของ ทั้ง Adam และ Son สัมฤทธิ์ผล
สำหรับ WeWork และ ตัว Adam แผนการ Fortitude มีเป้าหมายเพื่อแซงหน้า JPMorgan ในฐานะผู้ให้เช่าสำนักงานรายใหญ่ที่สุดของนิวยอร์กซึ่งนั่นเป็นความฝันสูงสุดของ Adam ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทที่เขาอยากจะทำมันให้สำเร็จให้จงได้
ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีเดียวกัน Adam มีความคิดที่จะเข้าซื้อกิจการของ Cushman & Wakefield ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์มูลค่า 4 พันล้านดอลลลาร์
Adam ทำการประมูลซื้อ Sweetgreen ผู้ผลิตสลัด ชื่อของบริษัทอย่าง WeWork ดูเหมือนมันจะถูกจำกัดแคบเกินไปที่จะครอบคลุมความทะเยอทะยานทั้งหมดของ Adam อีกต่อไปแล้ว
บริษัทเริ่มคิดเปลี่ยนชื่อแบรนด์ เหมือนกับที่ Google จัดการในการเปลี่ยนชื่อตัวเองเป็น Alpabet ด้วยการที่มีกลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก 3 กลุ่ม ได้แก่ WeWork , WeLive และ WeGrow และอีกมากมายในอนาคต WeWork จะกลายเป็น We Company
แต่ต้องบอกว่า ภายใน Softbank เองนั้น ก็ไม่ได้หลงใหลไปตามคารมของ Adam มากนักดูเหมือนมี แค่ Son เท่านั้นที่ดูจะเอาอกเอาใจ Adam เป็นพิเศษ ถึงกับเคยกล่าวกับ Adam อย่างภาคภูมิใจว่า “คนสุดท้ายที่ผมรู้สึกเช่นนี้คือ Jack Ma” ผู้ก่อตั้ง Alibaba
แต่สถานะของ Adam ในฐานะลูกชายคนโปรดของ Son อาจจะถูกพรากไปในไม่ช้า ในฤดูใบไม้ร่วงปีนั้น Vision Fund ได้ลงทุนเพิ่มอีก 1 พันล้านดอลลาร์ใน Oyo ซึ่งเป็นบริษัท Startup ด้านการโรงแรมของอินเดียที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
Oyo นำโดยผู้ก่อตั้งอย่าง Ritesh Agarwal ที่อายุน้อยกว่า Adam ถึง 15 ปี “น้องชายของคุณทำได้ดีกว่าคุณมาก” Son บอกกับ Adam ในการประชุมที่ Son แสดงให้เห็นแผนการเติบโตที่ทะเยอทะยานของ Oyo
Ritesh Agarwal ผู้ก่อตั้ง Oyo ขึ้นแท่นลูกรักคนใหม่ของ Son (CR:Mint)
แม้ Adam จะพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับฝั่งกองทุนจากตะวันออกกลาง เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในปี 2018 ในการวางแผนการขยายธุรกิจในตะวันออกกลางในซาอุดิอาระเบียและอาบูดาบีซึ่งเป็นผู้สนับสนุนใหญ่ทั้งสองของ Vision Fund
เขามีแผนการที่จะนำเอา Flatiron School มาสู่อาณาจักรซาอุดิอาระเบียเพื่อช่วยให้ผู้หญิงเรียนรู้วิธีการเขียนโค้ด
Adam กล่าวว่า เขากำลังพูดคุยกับรัฐบาลซาอุดิอาระเบียเกี่ยวกับการรวม WeWork เข้ากับ Neom ซึ่งเป็นเมืองแห่งอนาคตที่สร้างขึ้นจากพื้นดินทางตะวันตกเฉียงเหนือของซาอุดิอาระเบียใกล้กับ อิสราเอล
Neom นั้นจะกลายเป็นเมืองที่คาดว่าจะมีหุ่นยนต์แม่บ้าน เมฆฝนเทียม และชายหาดที่มีหาดทรายเรืองแสงในความมืด Adam คิดว่า บทบาทของ WeWork ในโครงการนี้อาจมีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์
Neom โปรเจ็กต์ในฝันของมกุฎราชกุมารแห่งซาอุดิอาระเบียผู้กุมเงิน Vision Fund (CR:WriteCaliber)
แต่ทั้ง Son และ Adam คงไม่สามารถยอมรับตัวเลขน้อย ๆ ได้อย่างแน่นอน พวกเขากำลังขึ้นหลังเสือและที่สำคัญ Son กำลังหาเงินเพิ่มสำหรับ Vision Fund ที่สองของเขา
การประเมินมูลค่าที่เหนือกว่าสำหรับหนึ่งในการลงทุนครั้งสำคัญของ Vision Fund อย่าง WeWork นั้น เป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับเขามันสามารถทำให้ Softbank อวดผลลัพธ์ที่น่าประทับใจอย่างน้อยก็บนกระดาษได้
ในขณะเดียวกัน Adam ก็มีความภาคภูมิใจเป็นพิเศษในความจริงที่ว่าการประเมินมูลค่าใหม่และการเสนอขายหุ้นของ Uber ทำให้ WeWork กลายเป็น Startup ที่มีมูลค่ามากที่สุดในอเมริกา
และที่สำคัญยังให้เงินกู้กับ Adam จำนวน 97 ล้านดอลลาร์ ในการจำนองดอกเบี้ยต่ำสำหรับบ้านหลายหลังที่ Adam กำลังซื้อและยังช่วยอำนวยความสะดวกในสินเชื่อส่วนบุคคลกว่า 500 ล้านดอลลาร์ให้กับ Adam อีกด้วย
ชื่อรหัสของ S-1 คือ Wingspan หรือ นกที่กำลังบินและทิ้งฝูงไว้ข้างหลัง ตอนนี้ทุกอย่างใน WeWork ดูเหมือนจะมี code name เต็มไปหมด รวมถึงเคมเปญการตลาดที่เรียกว่า Stark ซึ่งตั้งชื่อตาม Tony Stark ในภาพยนตร์ Iron Man
1
WeWork ได้ดัดแปลงพื้นที่ห้องสมุดที่เงียบสงบใกล้กับสำนักงานของ Adam บนชั้นหกของสำนักงานใหญ่ของบริษัทให้เป็น War Room สำหรับทีมที่รับผิดชอบในการเขียนส่วนต่าง ๆ ของ Wingspan
Adam ได้หันไปหาคนที่เขาไว้ใจที่สุดซึ่งนั่นก็คือ Rebekah ศรีภรรยาของเขาให้มาช่วยเหลือในการดูแลโปรเจค Wingspan
Son ทนความอัปยศของ Adam ไม่ไหวอีกต่อไป ได้เรียก Adam มาที่โตเกียว สำหรับนักลงทุนรายแรก ๆ ของ WeWork ต้องบอกว่าการตอบสนองต่อ Wingspan นั้นน่าอับอายเป็นอย่างมาก
Son คิดว่า WeWork ควรชะลอการเสนอขายหุ้น IPO เนื่องจากปฏิกิริยาต่อ Wingspan นั้นแทบจะโดนถล่มยับ จากเหล่านักลงทุนสถาบันที่ WeWork ได้ไปทำการ Road Show มาก่อนหน้านี้
ส่วนปัญหาของ Adam นั้นเรียกได้ว่า Son แทบจะฉุนขาดกับสิ่งที่เขาทำ แม้ก่อนหน้านี้ Son จะรู้สึกเหมือนว่า Adam เปรียบเหมือนเครือญาติที่ใกล้ชิดที่สุดของเขาคนหนึ่งและฝากความหวังไว้กับ Adam สูงมาก ๆ ก็ตามที
ความผิดพลาดครั้งก่อนหน้า Son เคยให้อภัยไปแล้วหนึ่งครั้ง แต่ครั้งนี้มันทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ถึงจุดแตกหัก แต่ Adam กลับตอบสนอง Son ด้วยการโต้เถียงกลับไปว่ามันสายเกินไปแล้วที่จะให้เขาออกจาก WeWork ในตอนนี้
ต้องบอกว่าในเอกสารของ Wingspan นั้น ส่วนใหญ่วิจารณ์มุ่งเน้นไปที่ตัว Adam โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการที่บริษัทได้จ่ายค่าเช่าไปมากกว่า 20 ล้านดอลลาร์สำหรับอาคารสี่หลังที่ Adam เป็นเจ้าของ
1
หรือการเข้ามามีบทบาทที่มากเกินไปของเหล่าคนใกล้ชิดของ Adam ทั้งพี่สาว พี่เขย รวมถึง Rebekah เองที่ถูกมองว่าจะเป็นตัวแทนของ Adam ในอนาคตในการสืบทอดต่อตำแหน่งของเขาที่ WeWork
1
Adam และ Rebekah นั้นต้องตกตะลึงกับปฏิกิริยาของสาธารณะชน โดยพวกเขาคาดหวังจะได้รับคำชมเชย แต่ทั้งคู่กับถูกวิจารณ์ยับ แบบเละเทะ ในเรื่องจริยธรรม ที่มีปัญหากับบริษัทตัวเอง
1
รวมถึงเรื่องปัญหาในเรื่องการบริหารงานที่ Adam ดูเหมือนจะไม่ใช่มืออาชีพ เหมือนเป็นเด็กน้อยที่เพิ่งได้มีโอกาสจับเงินจำนวนมหาศาล และมีการใช้เงินอย่างบ้าคลั่ง The Wall Street Journal มีการรายงานว่า Frances Frei ทำงานเป็นที่ปรึกษาของ WeWork อยู่แล้ว และยังเรียกเก็บเงินจากบริษัทอีก 5 ล้านดอลลาร์
1
และแล้วมันก็ถึงวาระสุดท้ายของ Adam จริง ๆ เสียที เมื่อ Bruce Dunlevie , Michael Eisenberg ที่บินตรงมาจากอิสราเอล และ Steven Langman นักลงทุนที่ให้การสนับสนุน WeWork มาตั้งแต่ปี 2012 ได้นัด Adam มาทานมื้อค่ำในห้องส่วนตัวที่ร้านอาหารย่านมิดทาวน์
คนกลุ่มนี้เป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มแรก ๆ ที่คอยช่วยเหลือและสนับสนุน Adam มาโดยตลอดไม่ว่าเขาจะทำตัวอย่างไร คนกลุ่มนี้ก็พร้อมที่จะยืนอยู่ข้าง Adam เสมอมา
แต่มื้อค่ำมื้อนี้ บรรยากาศมันเปลี่ยนไป มันเต็มไปด้วยความตึงเครียด แต่จริงใจ พวกเขาได้บอกกับ Adam ว่า มันถึงเวลาแล้วจริง ๆ ที่ Adam ควรก้าวลงจากตำแหน่ง CEO ของ WeWork เสียที
1
และเมื่อคณะกรรมการของ WeWork พบกันในเช้าวันถัดไป ชะตากรรมของ Adam กับ WeWork ก็ถูกปิดฉากไปในท้ายที่สุดนั่นเองครับผม
1
References :
หนังสือ Billion Dollar Loser: The Epic Rise and Spectacular Fall of Adam Neumann and WeWork โดย Reeves Wiedeman
หนังสือ The Cult of We: WeWork, Adam Neumann, and the Great Startup Delusion โดย Eliot Brown
สารคดี : WeWork: Or the Making and Breaking of a $47 Billion Unicorn