12 พ.ย. 2023 เวลา 09:41 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

Call My by Fire S 3 ชีวิตคนเราไม่ได้มีแต่แพ้ชนะ

ไม่ได้เขียนถึงรายการวาไรตี้มานานมาก เพราะที่ผ่านมายังไม่ประทับใจรายการไหนสักเท่าไหร่ จนกระทั่งมาเจอ Call my by fire ซีซัน 3 ซึ่งเป็นรายการที่นำนักร้องนักแสดงหลายรุ่นมาแบ่งกลุ่ม แข่งกันทำโชว์บนเวที แล้วให้ผู้ชมในห้องส่งโหวต มีการคัดผู้ร่วมรายการที่ได้รับความนิยมน้อยออก ประมาณนี้
✳จริง ๆ แล้วก็เคยดูซีซันที่แล้ว 2-3 ตอน เพราะไปเห็นคลิปเพลง Unparalleled Beauty ของทีมจางจื่อหลิน ที่มี ไมค์ พิรัชต์ จางหยุนหลง และฟานซือฉี
เป็นโชว์ที่น่ารักมาก เพราะจางจื่อหลินถือโอกาสใช้เวทีเป็นงานแต่งงานของเขากับภรรยาหยวนหยงอี้เสียเลย
แต่หลังจากลองไปเปิดย้อนหลังดู ถามว่าโชว์ต่าง ๆ ดีไหม ก็ดีแหละ คงอาจเพราะไม่รู้จักเพลงจีนสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ที่ฟังเป็นเพลงประกอบซีรีส์ จึงไม่ได้ดูต่อ
✳มาปีนี้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารายการเริ่มแล้ว จนเห็นคลิปเพลง No Time To Reget พร้อมข้อมูลว่ามีนักร้องไทยร่วมแสดงด้วย ซึ่งก็ไม่รู้อีกว่าเป็นใคร เพราะไม่ค่อยฟังเพลงไทยมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ทำให้ต้องไปหาข้อมูลว่าชื่อเจฟ(วรกมล) ซาเตอร์ เป็นนักร้องและนักแสดงเรื่อง คินพอร์ช ที่ไม่รู้จักก็ถูกแล้ว เพราะไม่ดูซีรีส์วาย
ปกติแล้ว รูปแบบรายการเรียลริตี้ทั่วไป ก็คล้าย ๆ กันที่ทีมงานจะกำหนดโจทย์ขึ้นมา แล้วให้ผู้ร่วมรายการรีแอคกับสถานการณ์นั้น ๆ แต่สาเหตุที่ทำให้ว้าวุ่นกับรายการนี้มากเป็นพิเศษ เพราะเรื่องราวระหว่างทางมันน่าประทับใจ แม้จะระแวงไปตลอดว่าสคริปต์(ไหมนะ) เพราะอะไรมันจะดูจริงใจกันขนาดนั้น
✳ขอพูดถึงทีมเดียว คือทีมเจฟ เพราะเป็นทีมที่ดูละเอียดที่สุดในบรรดาทีมทั้งหมดและชอบทุกโชว์ที่เขาแสดง แม้ว่าจะแพ้โหวตมากกว่าชนะก็ตาม
เหตุผลที่เริ่มตามดู ก็เพียงแค่เพราะมีเจฟซึ่งเป็นเด็กไทยร่วมรายการด้วย ถ้าอวยได้เราย่อมอยากอวย แต่กลายเป็นสนใจแรปเปอร์ 2 คน คือ อีโซ และต้านเขอ ก่อนเจฟเสียอีก โดยเฉพาะอีโซที่นั่งยันนอนยันแต่ต้นว่าจะไม่ทิ้งเจฟไปไหน กลายเป็นความผูกพันของเกอเกอตี้ตี้ 3 คน ที่ทำให้รายการน่าสนใจมากกว่าแค่โชว์บนเวที
ผู้เขียน ไม่ฟังเพลงแรป เพราะฟังไม่รู้เรื่อง (แต่จะว่าไป ตอนสาวกว่านี้ก็ชอบ Linkin Park อยู่นะ )
อาจด้วยภาพลักษณ์ เวลาเห็นแรปเปอร์บนเวที ก็มักคิดในใจว่ากระดูกพี่มีปัญหาหรือค่ะ ถึงยืนตรง ๆ กันไม่เป็น ยังไม่รวมถึงว่าเนื้อเพลงมักวน ๆ อยู่กับเซ็กส์ ยาเสพติด คำหยาบคาย อาจไม่ใช่ทุกเพลงที่มีเนื้อหาลักษณะนี้ แต่มันก็กลายเป็นภาพจำไปแล้ว
จนได้เห็น อีโซ และต้านเขอนี่แหละ แรก ๆ ก็คิดว่าสคริปต์ล่ะมั้ง แต่พอดูไปเรื่อย ๆ เออเว้ย...คุณพี่ทั้งคู่ดูแลห่วงใยเจฟขนาดนี้เลยหรือ ทั้งที่ก็พูดกันรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เพราะเจฟพูดจีนไม่ได้ อีโซพูดอังกฤษได้บ้าง ต้านเขอพูดได้แค่นิดหน่อย
ประทับใจขนาดนี้ มันก็ต้องไปหาว่าเป็นใครมาจากไหน
❇อีโซ อายุ 36 เป็นแรปเปอร์ไต้หวัน น่าจะมีชื่อเสียงพอสมควรในไต้หวัน เพิ่งแต่งงานไปเมื่อปีที่แล้วและมีลูกสาวคนแรก หลังจากไปอ่านบทสัมภาษณ์ในนิตยสารต่าง ๆ ที่ผ่านมา และดูรายการจนจบ ไม่แปลกใจแล้วถ้าเขาจะเป็นคนอย่างที่เห็นในรายการจริง ๆ เพราะเขาไม่ได้ดูแลแต่เฉพาะเจฟเท่านั้น เขาทำแบบนี้กับเกอคนอื่นด้วยเช่นกัน
อีโซ เป็นคนที่ทำให้ทุกคนเข้าใจคำว่า 不离不弃 ( ไม่ทอดทิ้งกัน)
❇ต้านเขอ อายุ 31 เป็นคนจีนแผ่นดินใหญ่ ปู่เป็นผู้บัญชาการทหารของพรรคคอมมิวนิสต์ ได้ฝังในสุสานวีรชน พ่อทำธุรกิจเกี่ยวกับรถยนต์ แม่อยากให้เข้าวงการบันเทิงจึงให้เรียนเปียโนตั้งแต่ 3 ขวบ เคยไปประกวดเปียโนระดับชาติ เรียนด้านดนตรีมาตลอด แต่ท้ายที่สุดเปลี่ยนไปเรียนด้านธุรกิจ เพราะต้องมาสืบทอดธุรกิจของพ่อ แต่ไป ๆ มา ๆ ก็กลายเป็นแรปเปอร์เสียอย่างนั้น
จะมีแรปเปอร์สักกี่คนที่มีพื้นฐานดนตรีคลาสิคมากขนาดนี้ ถึงว่าตอนที่โชว์เพลง The Love You Left Behind บุคลิกดีมาก ไม่เหลือคาแรกเตอร์แรปเปอร์เลย เรื่องร้องเพลงเพราะเป็นอันไม่ต้องสงสัยแล้ว
ต้านเขอกับเจฟออกแนวเพื่อนเล่นเพื่อนฮา บ้าไปด้วยกัน แต่พอถึงจุดต้องห่วงใย ต้านเขอจะเป็นมาเฟียมาก ประมาณ น้องข้าใครรังแก..เจอกรู อะไรงี้
ส่วนอีโซ ออกแนวพี่ชายคนโต เป็นหลังเป็นกำแพง คอยซัพพอร์ตอยู่เบื้องหลังทุกเรื่อง เป็นคนที่ “เห็น” เจฟ ก่อนใครในรายการ การที่เจฟเป็นหัวหน้าทีมมาได้หลายโชว์ อีโซคือคนที่ช่วยวางแผนยึดโยงทุกคนเข้าด้วยกัน โดยไม่เคยแย่งชิงความสำคัญเลย แต่ยิ่งทำแบบนั้น เขายิ่งโดดเด่น
ขำที่สุดก็คงเป็นความอวยน้อง...อวยได้ทุกเรื่อง อวยได้อภิมหาอลังการ จนคุณวันเสาร์(ชื่อแฟนคลับเจฟ) ควรยกตำแหน่งประธานด้อมให้
ผู้ชาย 2 คนนี้ ทำให้ผู้เขียนคิดถึงเพื่อนผู้ชายคนหนึ่ง ตอนหนุ่มคือเฮี้ยวมาก พอมีลูกก็เปลี่ยนไปเลย มาเจอกันอีกทีเปิดประตูรถให้ และอีกหลายเรื่องที่เราสังเกตเห็น ความคุณพ่อทำให้เขาดูแลเลยเถิดมาถึงเพื่อนที่แม้จะสนิทกัน แต่ก็ไม่เคยใส่ใจอะไรนัก
❤ผู้เขียนเชื่อมาตลอดว่า จิตใจที่ดีงามทำให้คนเราหล่อสวยได้โดยไม่เกี่ยวรูปลักษณ์หน้าตาแต่อย่างใด และเกอทั้งคู่คือข้อพิสูจน์นี้
✅เรื่องหนึ่งที่ผู้เขียนได้เรียนรู้ก็คือ แม้ว่าประสบการณ์ที่ได้พบเจอผู้คนมากมายทำให้เรายอมรับผู้คนที่แตกต่างได้กว้างขวางกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน แต่ลึก ๆ แล้วเรายังคงตัดสินใจคนอื่นด้วยภาพลักษณ์ภายนอกเช่นกัน
หลังจากที่เห็นเหล่าเกอเกอไม่เฉพาะแต่อีโซกับต้านเขอออกอาการเอ็นดูเจฟกันถ้วนหน้า ถึงค่อยเริ่มหันมาสนใจเจฟมากขึ้น
ถ้าจะถามหาเหตุผล ก็เพราะความเด็กไทย คนไทยนั่นแหละ ความอ่อนโยน อ่อนน้อมถ่อมตน เป็นมิตร มีอารมณ์ขัน มันอยู่ในดีเอ็นเอ ส่วนใครจะมีมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับการอบรมเลี้ยงดูของครอบครัว สำหรับเจฟต้องยกเครดิตให้คุณแม่เลย เลี้ยงมาดีมาก ถึงได้นิสัยน่ารักขนาดนี้
เรื่องที่ชอบที่สุดของเจฟคือ ไม่ดื่มเหล้า..ซึ่งหายากมากโดยเฉพาะคนในวงการบันเทิง
ถ้าสังเกตดูเกอรุ่นใหญ่ล้วนแต่เอ็นดูเจฟกันทั้งนั้น เริ่มตั้งแต่ ลู่อี้ ที่ร้องเพลง No time to regret ด้วยกัน ไม่รู้คุยกันอีท่าไหน ไปเรียกเขาพ่อเฉยเลย 😂
กับลุงไช่ ไช่กั่วชิง ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสคนหนึ่งในวงการบันเทิงจีน เป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ ก็งุงงิงด้วยตลอด จนลุงแกเห็นเจฟเป็นลูกชายอีกคนแล้ว ส่วนคุณเจฟก็สถาปนาลุงไช่เป็นพ่อคนที่สองไปอีก
กับลุงหวัง(หวังเหยาชิง) ที่เคยร่วมงานกันครั้งเดียวในเพลง Moonlight ซึ่งเป็นเพลงเต้น แต่ก่อนหน้านั้นแกก็แซวเล็กแซวน้อยมาตลอด ขอให้ได้แซว (คนดูก็งงไปสนิทกันตอนไหน) ที่หนักสุดคือ แกแซวว่าเจฟ เป็น PSTD เรื่องเต้นไปแล้ว ตีให้ตายก็อย่าหวังว่าจะเต้นอีก 🤣
มันเป็นความอ่อนน้อมถ่อมตนเวลาอยู่กับผู้ใหญ่ของเด็กไทยทั่วไป จากที่เคยติดตามเด็กไทยไปประกวดหรือไปรายการต่าง ๆ ก็เป็นแบบนี้เหมือนกันทุกคน
คนไทยอาจเห็นเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับคนต่างชาติโดยเฉพาะจีนที่พื้นฐานวัฒนธรรมใกล้เคียงกัน มันคือความพิเศษ
เจฟพิเศษหนักกว่านั้นไปอีก เพราะเขาละเอียดอ่อนกับความรู้สึกของทุกคน อย่างตอนลุงไช่เครียดเพราะเพลงยาก ก็หาวิธีให้ลุงไช่โทรหาลูกเพื่อลดความเครียด ซึ่งลุงไช่ก็รู้ว่าเจฟตั้งใจทำแบบนั้น
ยิ่งไปกว่านั้นเจฟฉลาดพูด เจอ หลินจื้ออิง ก็บอกว่าใคร ๆ ในไทยก็รู้จักหลินจื้ออิง กับ ถังหยูเจ๋อ ก็บอกว่าคุณแม่เป็นแฟนคลับ กับป๊าลู่อี้ ก็ทักว่าเคยดูเขาเล่นเป็นจูกัดเหลียงในซีรีส์ (นั่นมัน 14 ปีก่อน แกดูตอนอายุเท่าไหร่เจฟ )
นี่คือเท่าที่รายการตัดมาให้เห็น แต่เบื้องหลังไม่รู้พูดเรื่องดี ๆ กับทุกคนไปอีกเท่าไหร่ ก็ไม่น่าแปลกถ้าเกอเกอในรายการจะเอ็นดูกันถ้วนหน้า
ในฐานะกัปตันทีม เขาแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำ ความรับผิดชอบจนทุกคนในทีมยอมรับแม้จะเป็นกัปตันที่อายุน้อยที่สุดก็ตาม
สำหรับเรื่องความสามารถและความสำเร็จ
❤คนเรามีจังหวะชีวิตของตนเอง ช้าเร็วไม่เท่ากัน
สิ่งที่เจฟทำคือ ฝึกฝนและสั่งสมประสบการณ์โดยไม่ย่อท้อ ไม่ล้มเลิกไปก่อน
เมื่อวันเวลาแห่งโอกาสมาถึง เขาก็พร้อมที่จะเฉิดฉายให้ทุกคนเห็น มันไม่ใช่ความบังเอิญหรือโชคช่วยแต่อย่างใด ผลที่เกิดขึ้นในวันนี้ล้วนแต่เกิดจากความพยายามในวันวาน
💜เรื่องตลกที่สุดของ 3 คนสำหรับผู้เขียนคือ ชอบนิสัยทุกคน แต่ไม่ฟังเพลงใครสักคนแม้แต่เจฟ เพราะไม่ใช่แนวที่ชอบเลย
แต่ถ้าทั้งสามคนขึ้นเวทีโชว์ด้วยกันแบบที่ทำในรายการ พร้อมไปดู
🔴มามองในมุมของรายการกันบ้าง
ปีนี้ คอนเซปต์รายการเดิมเป็นอย่างไรไม่แน่ใจ คิด(เอาเอง)ว่ามีทั้งตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ แต่ผู้ร่วมรายการดันลากจูงไปเฉยเลย
เริ่มแรกรายการอาจไม่ได้ตั้งใจให้การที่เจฟพูดจีนไม่ได้เป็นประเด็นอะไรมากมาย เพราะเวทีแนะนำตัวก็ได้อยู่กับหม่าป๋อเซียน และป๋อหยวน ที่พูดภาษาอังกฤษอยู่แล้ว และจริง ๆ แล้ว เกอหลายคนในรายการก็พูดภาษาอังกฤษได้ โดยเฉพาะที่มาจากฮ่องกง ไต้หวัน
แต่บังเอิญว่าเวทีที่สอง เจฟดันเลือกเพลงโดยไม่สนใจว่า เกอที่ไปอยู่ด้วยพูดภาษาอังกฤษได้ไหม ปรากฏว่าแรก ๆ แทบไม่มีใครพูดกับเจฟ เพราะพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ จริง ๆ คือกลัวว่าจะพูดผิดเนื่องจากมีกล้องถ่ายอยู่เป็นร้อย จนในที่สุดอีโซทนไม่ไหว พูดผิดพูดถูกก็ต้องพูดกับเจฟ ซึ่งเอาเข้าจริงอีโซก็สื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีระดับหนึ่งเลย และพอทำงานเพลงกันจริง ๆ ก็ค่อยเข้าใจกันไปเอง
ตรงนี้เลยเป็นจุดให้รายการนำเสนอว่าพูดจีนไม่ได้ ไม่ใช่ปัญหา ประมาณดนตรีไม่มีพรมแดนอะไรแบบนั้น (แอบเชยนิด ๆ เหมือนกันนะ )
ต่อมาเจฟได้เป็น MVP และได้เป็นกัปตันทีม รายการก็คิดไม่ถึงว่าอีโซกับต้านเขอจะอุ้มเจฟไม่ปล่อย ทำให้เจฟกลายเป็นหัวหน้าทีมที่อายุน้อยที่สุด แถมยังเป็นคนต่างชาติ เป็นอีก 2 เวที ยิ่งไปกว่านั้นทีมเจฟนับว่าเป็นทีมรองบ่อนที่สุด คือไม่มีรุ่นใหญ่ในวงการเพลงในทีมเลย อินดี้กันหนักมาก
🔵เรื่องคะแนนโหวต รายการจัดการให้เป็นอย่างไรก็ได้อยู่แล้ว ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ผลแพ้ชนะไม่สำคัญเท่ากับคนดูจดจำศิลปินได้ไหม ในแง่มุมไหน เพราะเกอทุกคนในรายการล้วนแต่เป็นมืออาชีพทั้งนั้น ซึ่งมีทั้งนักร้อง นักแสดง นักดนตรี นักแต่งเพลง บางคนก็ทำหลายอย่าง ดังนั้นการที่ถูกออกไปก่อน ไม่เกี่ยวกับการมีความสามารถหรือไม่
หลังจากจบเวทีที่ 4 รายการออกกฎที่ทำให้ทีมเจฟกับอีกทีม แตกไปรวมกับทีมที่คะแนนสูงกว่า 4 ทีม ซึ่งล้วนแต่มีนักร้องนักแสดงรุ่นกลางรุ่นใหญ่เป็นหัวหน้าทีม คิดว่ารายการคาดหมายได้อยู่แล้วว่าต้องมีอาการพี่น้องหัวใจสลาย น้ำตาท่วมจอ เพราะเขาผูกพันกันจริง ๆ รายการก็ได้ดราม่าไปเต็ม ๆ
รายการเองก็คงไม่คิดว่า 2 แรปเปอร์กับ 1 นักร้องต่างชาติ จะสร้างคุณค่าทางอารมณ์ให้คนดูขนาดนี้ ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า ที่รู้สึกว่าโทนรายการช่วงหลังเปลี่ยนไปเน้นความพี่น้องในทุกทีม ซึ่งทำให้ได้เห็นความน่ารักของทุกคนมากขึ้น
🧡ทีมเจฟได้ตั้งคำถามอย่างจริงจังต่อรายการและคนดู แพ้ชนะเป็นเรื่องสำคัญกว่า พี่น้องได้ทำงานด้วยกันอย่างมีความสุขหรือสนุกสนานหรือไม่
รายการตอบคำถามนี้ได้น่าสนใจว่า จริงอยู่การได้ทำงานกับพี่น้องไปจนเวทีสุดท้ายคือคุณค่าทางใจที่มากกว่าแพ้ชนะ แต่การได้ออกไปทำงานกับมืออาชีพคนอื่น ๆ ก็ทำให้ได้ขยายขอบเขตความคิดสร้างสรรค์ที่แตกต่างไป ได้ประสบการณ์ใหม่ ได้แสดงความสามารถด้านอื่น ๆ ที่คนดูอาจยังไม่เคยเห็น
บางครั้งบางคราวก็ต้องก้าวออกไปรับเรื่องใหม่ ๆ ที่เข้ามาในชีวิตบ้าง
ประเด็นนี้ผู้เขียนเห็นด้วยกับรายการ
ส่วนความหมายของการเป็นพี่น้องนั้นไม่ได้หายไปไหน ไม่ได้ทำโชว์ในรายการ ก็ชวนกันขึ้นคอนเสิร์ตนอกรายการก็ได้
สรุปแล้ว Call Me By Fire ซีซัน 3 เหมือนได้ดูซีรีส์โลกสวยเรื่องหนึ่งที่ผู้เขียนชอบมาก
ถ้าเราอยากอยู่ในโลกที่ทุกคนดีต่อกัน เราก็ต้องช่วยกันสร้างเทวดานางฟ้า ไม่ใช่คิดแต่จะสร้างปีศาจ
เพลงที่ชอบที่สุดในรายการ เป็นเพลงที่ทำเพื่อรำลึกถึง CoCo Lee
เพิ่มเติม
เกออีกคนที่ผู้เขียนอยากเขียนถึง คือ APU แม้ไม่ได้สนิทออกหน้าออกตาเหมือนอีโซและต้านเขอ แต่ก็อยู่ด้วยกันมาตลอด
อาพูเป็นนักร้อง นักดนตรี นักแต่งเพลง เรียบเรียงเสียงประสาน ชาวไต้หวัน ที่มีฝีมือมากคนหนึ่ง เห็นได้จากการทำเพลง Law of Attraction ซึ่งเป็นเพลงที่ไม่มีทีมอยากได้ แต่เขาทำออกมาได้่น่าสนใจเลย
อาพูคือคนที่คอนเฟิร์มว่าอีโซเป็นคนอย่างที่เห็นในรายการนั่นแหละ เพราะเขาสองคนรู้จักกันมา 20 ปีแล้ว
อาพูอาจไม่ได้มีซีนอะไรให้เห็นมากนัก แต่ก็เป็นคนที่ห่วงใยเจฟไม่น้อยไปกว่า 2 เกอนั่น ตอนต้องแยกทีมแล้วทุกคนเป็นห่วงว่าเจฟจะไปอยู่กับทีมไหน จะเหงาหรือเปล่า อาพูคือคนที่เสนอว่า งั้นก็แยกเป็นคู่อาพูกับอีโซ เจฟกับต้านเขอ เพียงแต่ท้ายที่สุดไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด
อาพูเป็นคนเดียวที่ผู้เขียนคงได้ติดตามงานของเขาหลังจบรายการ เพราะเคยฟังเพลงดังของเขามาแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขาเป็นคนร้อง ก็สมกับที่เคยบอกว่า เพลงเขาดังแต่ไม่ค่อยมีใครรู้ว่าเขาร้อง
หลังออกรายการนี้คงมีคนรู้เพิ่มขึ้นแล้วว่าเขาเป็นคนร้องเพลงนี้

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา