13 พ.ย. 2023 เวลา 08:37 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ฟิทช์ คงอันดับเรทติ้งไทย ที่ BBB+ จับตาความสามารถบริหารหนี้ต่อจีดีพี-นโยบายกระตุ้นศก.

ฟิทช์ ประกาศคงอันดับความน่าเชื่อถือไทยที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทยอยู่ในระดับมีเสถียรภาพ พร้อมติดตามความสามารถในการบริหารจัดการหนี้รัฐบาลต่อจีดีพี-ประสิทธิผลของนโยบายทางเศรษฐกิจ
.
นางจินดารัตน์ วิริยะทวีกุล ที่ปรึกษาด้านหนี้สาธารณะ โฆษกสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า บริษัท Fitch Ratings (Fitch) ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) ณ ระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook)
.
อย่างไรก็ตาม ฟิทช์ คาดว่า เศรษฐกิจไทยจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยประเมินปีนี้ขยายตัว 2.8% และปีหน้าที่ 3.8% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวอย่างมั่นคงและภาคการส่งออกที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความต้องการใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นจากการกระตุ้นการใช้จ่ายภาครัฐและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ประกอบกับมาตรการยกเว้นการตรวจลงตรา (Visa Exemption) ชั่วคราวแก่นักท่องเที่ยวจีนและอินเดีย ได้ส่งเสริมให้เกิดการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวอย่างรวดเร็ว
.
นอกจากนี้ การใช้จ่ายทางการคลังขนาดใหญ่ (Large Fiscal Spending) จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของประเทศ อีกทั้งความสำเร็จในการก่อตั้งรัฐบาลทำให้ความไม่แน่นอนทางการเมืองในระยะสั้นลดลง ซึ่งจะทำให้การดำเนินนโยบายชัดเจนมากขึ้น
.
ทั้งนี้ รัฐบาลยังจำเป็นต้องคำนึงถึงต้นทุนการดำเนินนโยบายและกรอบวินัยทางการคลังให้มากขึ้น ซึ่ง ฟิทช์ เชื่อว่าอันดับคะแนนภายใต้ Worldwide Governance Indicators (WGI) ของไทยจะดีขึ้น เนื่องจากการเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น อย่างไรก็ดี ประเทศไทยยังคงเผชิญกับความเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ภัยแล้ง และความล่าช้าของการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี
.
ขณะที่ภาคการคลังสาธารณะ (Public Finance) คาดว่า รัฐบาลจะขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นจาก 3% ของ GDP ในปี 66 เป็น 3.7% ของ GDP ในปี 67 ซึ่งสูงกว่าค่ากลางของกลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือระดับเดียวกัน (BBB Median = 2.9%) แต่จะเริ่มลดลงมาอยู่ที่ 3.5% ในปี 68 (BBB Median = 2.6%) โดยเป็นค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนและสังคมเป็นสำคัญ
.
ขณะเดียวกัน ฟิทช์ คาดว่า สัดส่วนหนี้ภาครัฐบาลต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ปี 68 จะเพิ่มขึ้นเป็น 56.8% ซึ่งยังคงสูงกว่าระดับก่อนเกิดสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 แต่ยังอยู่ในระดับเดียวกันกับค่ากลางของกลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือระดับเดียวกัน (BBB Peers) ที่ 56.3% และในระยะปานกลาง ในปี 70 คาดว่าระดับดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 57.5%
.
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ารัฐบาลยังสามารถระดมทุนภายในประเทศได้ท่ามกลางสถานการณ์ความผันผวนทางเศรษฐกิจ เนื่องจากหนี้สาธารณะมีอายุเฉลี่ยค่อนข้างยาวและส่วนใหญ่เป็นหนี้สกุลเงินบาท ซึ่งจะช่วยบรรเทาความเสี่ยงทางการเงินจากการเพิ่มขึ้นของ General Government to GDP ได้
.
ด้านภาคการเงินต่างประเทศ (External Finance) มีความแข็งแกร่งและสามารถรองรับสถานการณ์ความตึงเครียดทางการเงินโลกและความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยฟิทช์คาดว่า ปี 66 ดุลบัญชีเดินสะพัดจะกลับมาเกินดุลที่ 1% ของ GDP จากที่ขาดดุล 3.2% ในปี 65 อีกทั้ง ปี 66 คาดว่าระดับทุนสำรองระหว่างประเทศต่อมูลค่าการนำเข้าจะยังคงอยู่ในระดับสูงมากที่ 7.1 เดือนซึ่งสูงกว่า BBB Median ที่ 5 เดือน
.
ส่วนปัจจัยสำคัญที่ฟิทช์จะติดตามเพื่อวิเคราะห์อันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ของไทย คือ ความสามารถในการบริหารจัดการหนี้รัฐบาลต่อจีดีพี (General Government Debt to GDP) ให้อยู่ในระดับมีเสถียรภาพและสร้างการเติบโตในระยะปานกลาง ตลอดจนประสิทธิผลของนโยบายทางเศรษฐกิจ
***********************************
กด Follow & See First
ไว้เพื่อไม่ให้พลาดข่าวสำคัญกันนะคะ
***********************************
#efinancethai
#มีข่าวมีโอกาส
#ข่าวหุ้น
โฆษณา