สู้ดิวะ
ทุกคนจำได้ไหมคะว่าเมื่อประมาณปลายปีที่แล้วมีกระแสฮือฮาอย่างมากในโลกออนไลน์จนข่าวแทบทุกสำนักต้องหยิบไปนำเสนอ และจนถึงทุกวันนี้แทบทุกการเคลื่อนไหวจากเพจดังกล่าวก็ยังคงได้รับความสนใจจากประชาชน เจ้าของเพจและเรื่องราวทั้งหมดนั้นก็คือคุณหมอหนุ่มอนาคตไกลคนหนึ่งที่ดูแลตัวเองอย่างดี อยู่ในช่วงชีวิตที่กำลังเบ่งบานสวยงาม แต่กลับได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย
เกริ่นมาขนาดนี้แล้วก็เฉลยเลยแล้วกันว่าคุณหมอคนที่ว่าก็คือคุณหมอกฤตไท ธนสมบัติกุล ซึ่งเขาก็ได้ตัดสินใจออกมาแชร์เรื่องราวนับตั้งแต่ตรวจพบว่าตัวเองเป็นโรคร้าย กระบวนการในการรักษา ตลอดจนวิธีคิดที่ทำให้เขายังคงมีแรงใจสู้ต่อไปได้ผ่านทางเพจ และในที่สุดก็ได้จัดทำหนังสือรวมบทความทั้งหมดออกมาเป็น #สู้ดิวะ หนังสือเล่มแรกของเขาเอง โดยคุณหมอเลือกที่จะตีพิมพ์กับ KOOB หนึ่งในสำนักพิมพ์ที่เขาชื่นชอบ
คุณคงคิดว่าหนังสือเล่มนี้จะต้องมีน้ำเสียงโศกเศร้าเร้าอารมณ์คนอ่านให้น้ำตาท่วม แต่ไม่ใช่เลย กลับกันเสียด้วยซ้ำ แม้คุณหมอจะป่วยหนักและอาจจะถูกมองว่า "โชคร้าย" ในสายตาของคนส่วนใหญ่ แต่ตัวเขาเองกลับเลือกที่จะถ่ายทอดประสบการณ์ที่พบเจอมาด้วยน้ำเสียงปกติธรรมดา ส่วนไหนที่ฮึดสู้ก็บอกไปว่าสู้ ส่วนไหนที่ท้อก็ยอมรับตรงๆว่าท้อ ไม่ได้ตัดพ้อต่อว่าชะตาชีวิตเลยสักนิด
นี่คือโอกาสของคุณครับ โอกาสที่คุณจะมองเห็นสิ่งตรงหน้า แล้วตัดสินใจว่าจะเป็น 'เหยื่อ' หรือเป็น 'ผู้ชนะ
หมอกฤตไท
พออ่านประโยคนี้มันก็ทำให้เราคิดได้ว่าคุณหมอคงเป็นคนที่ใช้ชีวิตมาอย่างดีมากๆ เขาจึงมีจิตใจที่มั่นคงมากพอและสามารถปรับตัวให้รับมือกับเหตุการณ์ที่เจอได้ค่อนข้างดี แถมยังมีแรงเหลือมาเขียนเล่าเรื่องราวของตัวเองออกมาให้คนอื่นได้อ่านเป็นความรู้ เป็นข้อคิดเตือนสติ ทั้งที่ตัวเองก็ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดจากตัวโรคไม่น้อย เรียกได้ว่ามีจิตวิญญาณของครู จิตวิญญาณของการเป็นผู้ให้อยู่เต็มเปี่ยมจริงๆ
ก่อนที่คุณหมอจะออกมาเล่าเรื่องราวการต่อสู้ของตัวเองให้พวกเราฟังได้นั้น เราเชื่ออย่างยิ่งว่าแรงผลักสำคัญก็คือมุมมองที่เขามีต่อตัวเองว่าเขาไม่ใช่ "เหยื่อ" ของเหตุการณ์นี้ คุณหมอไม่ได้ตอบคำถามที่ว่า "ทำไมต้องเป็นฉัน?" ว่าเขาแค่บังเอิญเป็นคนที่โชคไม่ดี แต่กลับมองว่าตัวเองคือผู้ที่ถูกเลือกให้ต้องเผชิญกับโรคนี้เพื่อที่จะได้สร้างความตระหนักรู้อะไรสักอย่างให้กับสังคม คุณหมอจึงหยิบเอาตัวเองมาเป็นบทเรียนเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้คนอีกมากมายได้รู้ความหมายของการมีชีวิตอยู่
เวลาเราไม่ได้มีมากพอให้เราไปทำหรือมีทุกอย่างในโลก...วันนี้ของน้องเป็นสิ่งเดียวที่น้องมี
หมอกฤตไท
เราชอบข้อความนี้ของคุณหมอมากๆ คนหลายคนในโลกนี้มักคิดว่าชีวิตสามารถมีทุกสิ่งที่ใจฝันได้ขอแค่เพียงเราทุ่มสุดตัว โดยเฉพาะโลกในปัจจุบันที่บังคับให้เราต้อง productive ตลอดเวลา ต้องไม่ปล่อยเวลาทิ้งไปเปล่าๆแบบไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร ทำให้หลายครั้งเราจึงเผลอจดจ้องอยู่แต่กับภาพอนาคต จนลืมไปว่าจริงๆแล้วเราอาจจะไม่มีโอกาสได้หายใจไปจนถึงวันนั้นเลยก็ได้ เพราะชีวิตมันเปราะบางมากกว่าที่เราเห็น บางทีแม้แต่พรุ่งนี้ก็อาจจะไม่มีจริง
สำหรับเราแล้วหนังสือเล่มนี้คือจดหมายรักขนาดยาวของคุณหมอ จดหมายรักในที่นี้ไม่ใช่จดหมายเกี้ยวพานที่ชวนให้เขินอาย แต่เป็นจดหมายที่แสดงถึงความรักและขอบคุณในทุกช่วงชีวิตที่ผ่านมา รักผู้คนรอบข้าง รักหน้าที่การงาน และรักตัวเองในแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้ มันทำให้เรารับรู้ได้ว่าคุณหมอคือคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตของตนได้คุ้มค่ามากพอจนเหมาะสมกับคำว่า "ชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุขและเป็นที่รักยิ่ง" ซึ่งน้อยคนนักจะมีโอกาสทำได้
อาจจะเพราะหนังสือเล่มนี้เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกและพลังงานดีๆล่ะมั้ง เราจึงรู้สึกว่ายังมีเรื่องให้เขียนชื่นชมได้อีกเรื่อยๆเลย แต่คิดว่าจบเอาไว้เท่านี้น่าจะดีกว่า อยากให้ทุกคนได้ไปลองอ่านเอง เป็นหนังสือที่ดีมากๆชนิดที่ว่าขนาดใน Se-ed บ้านเราที่หนังสือส่วนใหญ่เหลือเป็นตั้ง เล่มนี้ยังขายแทบหมดเกลี้ยง ขายดีจนเกลี้ยงสต็อกเกือบทุกที่ ผลิตแทบไม่ทัน 🤣
สุดท้ายอยากฝากข้อความถึงคุณหมอไว้ว่าดีใจจริงๆนะคะที่คุณหมอตัดสินใจออกมาแชร์เรื่องราวของตัวเอง คุณหมอทำให้ใครหลายคนรวมถึงตัวเราเองเห็นคุณค่าของเวลาในปัจจุบันมากขึ้น ทำให้เรารู้ว่าเป้าหมายสำคัญที่สุดของการมีชีวิตอยู่คือการมี "วันนี้" ที่มีความสุข อ่านเล่มนี้จบแล้วรู้สึกเลยว่าอยากอ่านงานเขียนที่กลั่นกรองมาจากความคิดของคุณหมอเพิ่มอีกหลายๆเล่ม อยากให้คุณหมอได้แต่งห้องวันคริสต์มาสกับเลือกคัพเค้กไปฝากคนรู้จักได้อีกหลายๆปี
ยังไงก็ขอให้ทุกวันต่อจากนี้ของคุณหมอมีแต่ช่วงเวลาที่แสนพิเศษและเต็มไปด้วยรอยยิ้มนะคะ 😊
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2024 Blockdit
