15 พ.ย. 2023 เวลา 16:13 • ปรัชญา

.อารมณ์จากการเจริญ 'เอกัคตารมณ์'

ที่เป็นมหาสติปัฏฐาน ต่างจาก 'เอกัคตารมณ์' ที่เป็นการเจริญฌานอย่างไร..
พิธีกร : ปุจฉา
ได้อ่านหนังสือการปฏิบัติมหาสติปัฏฐาน ๔ ของหลวงปู่เทศก์ เทสรังสี ท่านบอกว่า.. เมื่อคนเราเจริญสติปัฏฐาน ๔ แล้ว จิตจะรวมเป็นหนึ่ง หรือเอกัคตารมณ์ จนเกิดเป็น เอกัคตาจิต
ซึ่งหลวงปู่เทศก์ ท่านได้บอกว่า.. จิตที่เจริญมหาสติปัฏฐานจนเป็น เอกัคตาจิต จะเป็นจิตที่ชำระจนสะอาดแล้ว
ซึ่งต่างจากการเจริญฌาณซึ่งจิตที่รวมเป็น เอกัคตารมณ์ยังไม่สะอาด
หนูเลยสังสัยว่า..
อารมณ์จากการเจริญ 'เอกัคตารมณ์'
ที่เป็นมหาสติปัฏฐาน ต่างจาก 'เอกัคตารมณ์'
ที่เป็นการเจริญฌานอย่างไร..
หลวงปู่ : วิสัชนา
. "ต้องทำความเข้าใจว่า...
หลวงปู่เทศก์ท่านสอนไม่ผิด
มหาสติปัฏฐาน มีกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ...เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน
จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน
และ ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
... ในกายนุปัสสนาสติปัฏฐานนี้ มีทั้งหมด ๖ ข้อ หนึ่งในหกบรรพ/ข้อ คือ..
อาณาปานสติบรรพ ซึ่งสามารถทำได้จนถึงฌาณสมาบัติ ๘
เพราะฉะนั้น... หลวงปู่เทสก์ท่านสอนไม่ผิด
... #ปัญหามันอยู่ที่ว่าเราทำกายานุปัสสนาสติปัฏฐานเพื่อให้เรียนรู้ศึกษาร่างกาย
#นี้คือรากเหง้าของกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน
เพราะในกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ก็มีอิริยาบทบรรพ
.. #อิริยาบทบรรพคือ.. มีสติรู้อยู่ในระหว่างที่ยืน เดิน นั่ง นอน เป็นเรื่องของกายไหม (เป็น)
.. ต่อมา... #สัมปชัญญะบรรพ มีสติรู้การยกแขน ลดแขน กระพริบตา แลบลิ้น เคี้ยว กลืนน้ำลาย หูได้ยินซ้าย ย้ายออกขวา..ใจเต้นกี่ครั้ง ใน ๑วินาที
ทั้งหมดนี้เป็นสัมมปชัญญะบรรพ คือ..
ตัวปัญญารู้ชัดตามความเป็นจริงที่ปรากฏ แล้วมันก็ค่อยๆ พัฒนาขึ้นไปเป็นทีละลำดับๆ
ถามว่า.. จำเป็นไหมต่อการเรียนรู้มหาสติปัฏฐานว่าต้องถึงองค์สมาบัติ .. ไม่จำเป็น
เพราะเหตุปัจจัยว่า... เมื่อเข้าถึงองค์สมาบัติมันจะติดสุข และเสพย์อารมณ์..
เพราะในอาณาปานสติบรรพ มันมีสูงสุดให้ได้ถึงสมาบัติ ๘ ถ้าเราไม่จำเป็นต้องทำจนถึงสมาบัติ ๘ ทำได้ไหม ก็ทำแค่ปฐมฌาณก็ได้แล้ว รู้เรื่องลมหายใจในระดับหนึ่ง แล้วก็รู้เรื่องอิริยาบท ยืน เดิน นั่ง นอน อย่างมีสติ
แล้วต่อมาก็รู้เรื่อง สัมปชัญญะบรรพ
แล้วรู้เรื่องปฏิกูลสัญญา คือ.. ในร่างกายเราทั้งภายใน และภายนอก มันสกปรกจริงไหม
คำว่า.. ปฏิกูลแปลว่า 'สกปรก' รู้เรื่องธาตุกรรมฐาน ในร่างกายเรามันมีธาตุดิน.. ธาตุน้ำ.. ธาตุลม.. ธาตุไฟ อะไรบ้างที่แยกออกมาเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ ขน ผม เล็บ ฟัน หนัง เป็นส่วนธาตุดินอย่างนี้เป็นต้น
มันเริ่มพัฒนาไปเรื่อยๆ เห็นไหม จากอารมณ์สงบ.. แล้วพัฒนาไปสู่ปัญญา ค่อย ๆ ไล่ เรียนรู้ตั้งแต่.. อิริยาบท สัมปชัญญะบรรพ ยกแขนลดแขน แล้วก็พัฒนาไปจนกระทั่ง อวัยวะภายในภายนอกเรื่องธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ พัฒนาไปจนถึงความสกปรกปฏิกูล แล้วพัฒนาไปจนกายนี้มันตาย เรียกว่า..
#นวสีวถิกาบรรพ
มันไม่มีอะไร.. ปัญญาล้วนๆ ถ้าเรียนรู้ศึกษาเรื่องกาย
... #ไม่ใช่เรียนรู้มหาสติปัฏฐานเพื่อให้ได้อารมณ์แค่เอกัคตารมณ์ หรืออุเบกขาแล้วสงบนิ่ง อย่างนี้ถูกไหม. ไม่ถูกในวิถีคิด วิถีชีวิต และวิถีธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนมหาสติปัฏฐาน
.. #เพราะมหาสติปัฏฐานล้วนๆของพระผู้มีพระภาคเจ้า คือ.. ต้องเรียนรู้ กาย เวทนา จิต แล้วก็ธรรม
เพราะเรียนรู้กาย.. เรียนรู้เวทนา.. เรียนรู้จิต เรียนรู้ธรรมนี้ จึงเป็นมหาสติปัฏฐานที่พระพุทธเจ้าสอน
แต่ถ้าไปยึดติดเพียงแค่.. เอกัคตา และอุเบกขา แล้วก็บอกว่าอธิบายจิตนี้เท่านั้น ไม่ใช่มหาสติปัฏฐาน ยังไม่สมบูรณ์
ท่านไม่ได้สอนผิดแต่ท่านยังไม่ได้อธิบายต่อไป เข้าใจหรือยัง
... #ต้องเข้าใจในวิธีคิดของพระพุทธเจ้าก่อนก่อนจะเรียนรู้คำสอนใด ๆ
พระพุทธเจ้าทำไมสอนมหาสติปัฏฐาน ทั้งที่อารมณ์เบื้องต้นของมหาสติปัฏฐาน ก็เป็นสมถะ ก็คืออาณาปานสติ ก็เป็นสมถะ แล้วก็อยู่ในกรรมฐาน ๔๐ มีอนุสติ ๑๐ ก็ศึกษาพวกนั้นได้ ทำไมต้องมาอยู่ ในหมวดของมหาสติปัฏฐานด้วย
ก็เพราะมันต้องเริ่มต้นอย่างนี้ ไง เริ่มต้นด้วย.. กายนี้มันประกอบไปด้วยอะไร ..จะรู้กายนี้ได้ก็ต่อเมื่อ... มันต้องสงบระงับในระดับหนึ่งเท่านั้น แต่.. ไม่ใช่สงบระงับจนถึงขีดสุดแล้วมานั่งเสพย์อารมณ์ อย่างนั้นไม่ใช่ เข้าใจไหม ?
ถ้าจะเรียนมหาสติปัฏฐานต้องเรียนแบบนี้ แต่ถ้าจะเรียนสมถะว่าไปอีกเรื่อง จบ."
.
หลวงปู่พุทธะอิสระ
วัดธรรมอิสระ (วัดอ้อน้อย)
อ. กำแพงแสน จ. นครปฐม
ขอนอบน้อมกราบ
สาธุวันทา
คุณครูบาอาจารย์
🙏🙏🙏
โฆษณา