17 พ.ย. 2023 เวลา 01:31 • ข่าว

บาทแข็งโป๊ก ! นิวไฮรอบ 9 สัปดาห์

ค่าเงินบาทเปิดตลาดช้านี้ที่ระดับ 35.23 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ “แข็งค่า” นิวไฮรอบ 9 สัปดาห์ หลังรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน ของสหรัฐฯ แย่กว่าคาด ฉุดเงินดอลลาร์อ่อนค่า-บอนด์ยีลด์ร่วง จับตาเศรษฐกิจยุโรป
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 35.23 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ “แข็งค่าขึ้นมาก”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 35.47 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการทุบสถิติใหม่ในรอบ 9 สัปดาห์
โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง หลุดโซนแนวรับหลัก 35.50 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในช่วง 35.13-35.52 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ) ตามการย่อตัวลงของเงินดอลลาร์ และการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น แย่กว่าคาดที่ตลาดคาด สะท้อนภาพการชะลอตัวลงมากขึ้นของตลาดแรงงานสหรัฐฯ
ขณะเดียวกันรายงานผลประกอบการของบริษัทค้าปลีกยักษใหญ่ Walmart ที่ออกมาแย่กว่าคาด ก็ยิ่งสะท้อนภาพการใช้จ่ายในสหรัฐฯ ที่ชะลอลง ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงมั่นใจว่า เฟดได้จบรอบการขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว และเฟดอาจลดดอกเบี้ยลงได้ราว -100bps
นอกจากนี้ การปรับตัวลงของ ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้หนุนให้ ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ผู้เล่นบางส่วนทยอยขายทำกำไรทองคำและโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มเผชิญความผันผวนสูงขึ้น กดดันโดยรายงานผลประกอบการของบริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ Walmart ที่ออกมาแย่กว่าคาด สะท้อนภาพการชะลอตัวของการใช้จ่ายในสหรัฐฯ ที่มากขึ้น นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน ตามราคาน้ำมันดิบที่ยังคงปรับตัวลงต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี การปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานออกมาแย่กว่าคาด ได้หนุนให้บรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ส่วนใหญ่ ยังปรับตัวขึ้นได้ ส่งผลให้ ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.12%
ตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 พลิกกลับมาปรับตัวลดลง -0.72% กดดันโดยแรงขายหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม อาทิ Dior -2.5%, LVMH -1.8% หลังบางบริษัท อาทิ Burberry -9.8% ได้มีการปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการ จากแนวโน้มการใช้จ่ายสินค้าแบรนด์เนมที่อาจลดลงกว่าคาด นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังเผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลงหนักของบรรดาหุ้นกลุ่มพลังงาน Shell -3.0%, BP -2.8% ตามการปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบ
ฝั่งตลาดบอนด์ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงเชื่อว่า เฟดได้จบรอบการขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว และเฟดอาจลดดอกเบี้ยลงได้ราว -1% ในปีหน้า หลังรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาด พร้อมกับ ผลประกอบการของบริษัทค้าปลีก Walmart ที่แย่กว่าคาดเช่นกัน ได้ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงสู่ระดับ 4.44% อีกครั้ง
ทั้งนี้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจยังคงผันผวน ใกล้โซน 4.50% จนกว่าตลาดจะปรับมุมมองว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้เร็วขึ้น และลึกขึ้นกว่าคาด ถึงจะเห็นการปรับตัวลดลงต่อเนื่องที่ชัดเจนได้ ดังนั้น ผู้เล่นในตลาดอาจรอจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อได้ตามคำแนะนำเดิม
ด้านตลาดค่าเงินนั้น เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวน โดยมีจังหวะอ่อนค่าลง เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ตามการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังรายงานข้อมูลยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาด อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง ในช่วงตลาดเริ่มผันผวนและปิดรับความเสี่ยง ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) แกว่งตัวใกล้ระดับ 104.4 จุด (กรอบ 104-104.5 จุด)
ส่วนราคาทองคำ ภาพตลาดการเงินโดยรวมที่เริ่มเข้าสู่ภาวะระมัดระวังตัวมากขึ้น รวมถึงการปรับตัวลดลงของทั้งบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และเงินดอลลาร์ ได้หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ปรับตัวขึ้น จากโซนแนวรับ แถว 1,960 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สู่ระดับ 1,980 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้ผู้เล่นบางส่วนในตลาดเริ่มทยอยขายทำกำไรทองคำ และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าว ก็มีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้
สำหรับวันนี้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจอาจอยู่ที่ฝั่งยุโรป โดยผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดค้าปลีกของอังกฤษ รวมถึงรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของยูโรโซน โดยหากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว สะท้อนภาพเศรษฐกิจอังกฤษและยูโรโซนที่ชะลอลงมากขึ้น ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดยิ่งมั่นใจว่า ทั้งธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้จบรอบการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว ทว่า ภาพดังกล่าว ก็อาจกดดันสกุลเงินฝั่งยุโรป ทั้งเงินปอนด์ (GBP) และเงินยูโร (EUR) ให้อ่อนค่าลงได้บ้าง
นอกนี้ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด รวมถึง รอลุ้นคาดการณ์อัตราการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 4 โดย Atlanta Fed (GDPNow) ซึ่งทาง Atlanta Fed ได้ประเมินว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจโตได้ถึง +2.2% จากไตรมาสก่อนหน้า เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งสูงกว่า คาดการณ์ของบรรดานักวิเคราะห์ ที่มองแค่เกือบ +1%
สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทนั้น มากกว่าที่เราประเมินไว้พอสมควร โดยเราได้ประเมินก่อนหน้าว่า หากเงินบาทแข็งค่าหลุดโซน 35.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ก็อาจชะลอการแข็งค่าแถวแนวรับ 35.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ทำให้มองว่าวันนี้ เงินบาทอาจชะลอการแข็งค่าลงบ้าง ตามโฟลว์ซื้อเงินดอลลาร์ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน อาทิ ผู้นำเข้า ที่รอจังหวะเงินบาทแข็งค่าขึ้น ส่วนผู้เล่นในตลาดที่มีสถานะ Long THB ( มองเงินบาทแข็งค่า) ก็อาจเริ่มขายทำกำไรสถานะดังกล่าวออกมาบ้าง
นอกจากนี้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจฝั่งยุโรป ก็มีโอกาสที่จะสะท้อนภาพการชะลอตัวของเศรษฐกิจฝั่งยุโรปมากขึ้น จนกดดันสกุลเงินฝั่งยุโรปได้บ้าง ทำให้ เงินบาทอาจยังขาดปัจจัยหนุนการแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ยกเว้น การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ ซึ่งอาจต้องรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ เพิ่มเติมในสัปดาห์หน้า
ขณะที่ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ ก็อาจมีความผันผวนมากขึ้น ตามบรรยากาศในตลาดการเงินโลกที่เริ่มเข้าสู่ภาวะระมัดระวังตัว ทำให้ นักลงทุนต่างชาติอาจทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์ของหุ้นไทยได้เพิ่มเติม ซึ่งเราประเมินว่า เงินบาทก็อาจยังไม่สามารถแข็งค่าหลุดโซน 35.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ได้โดยง่ายภายในสัปดาห์นี้
ในช่วงนี้ ทุกสินทรัพย์ยังอยู่ในช่วงเผชิญความผันผวนสูง ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้งมองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.10-35.35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
โฆษณา