18 พ.ย. 2023 เวลา 23:00 • ปรัชญา
วอชิงตัน ดีซี

Intro to Nerd in the Museum

"ถ้าแกหักให้ออกเดินทาง"
ประโยคที่หยกอยากเห็นหน้าคนริเริ่มมากที่สุด ใครจะไปนึกคนในวัยเกือบ 30 อาชีพแม่บ้าน ติดบ้านจนเพื่อนคิดว่าเป็นฮิคิโคโมริ มีหนังสือกับซีรี่ย์เป็นเพื่อนสนิท ที่ตัดสินใจแยกทางกับว่าที่สามีที่รู้จักกันมาเป็นสิบปี อย่าว่าแต่ออกเดินทางเลย ให้ขับรถไปแค่ชลบุรีทริปยังล่มแล้วล่มอีก
ความรู้สึกตอนนั้นมันเคว้งคว้างมาก มันงงไปหมด ถ้าตัดเรื่องทรัพย์สินที่แบ่งกันอย่างลงตัว ทุกอย่างคือการเริ่มต้นใหม่หมด ความรู้สึกวันที่ย้ายออกจากบ้านที่ตัวเองออกแบบรวมถึงควบคุมการสร้างเองทั้งหมด ออกมาอยู่บ้านเช่าที่พอจะใกล้ที่สุดเท่าที่ทำได้ เพราะเรามีทั้งแมวแถมยังคิดถึงบ้านบ่อยๆ ชีวิตเหมือนเล่มเกมส์บันไดงูแล้วตกช่องที่ให้กลับไปเริ่มใหม่ ฉะนั้นไอ้ที่ว่า "ถ้าอกหักให้ออกเดินทาง" บอกไว้หน่อยก็ได้ว่าจะให้กูเดินทางไปไหน
"ออกเดินทางไปผจญภัย"
ตัดภาพที่จะให้หยกไปขึ้นภูกระดึงหรือไปลำบากตรากตรำ เธอได้จะเห็นภาพนั้นแค่ในฝันค่ะ ถ้าวันไหนที่พวกเธอเห็นฉันทำแบบนั้นให้รู้ไว้ก่อนเลยว่าฉันน่าจะเกินเอ็มร้อยมาเกิน 2 ขวด เกิดมาชีวิตที่เคยลำบากที่สุดก็คือตอนไปค่ายลูกเสือ ค่ายลูกเสือที่ไปวันเดียวก็แกล้งไม่สบายให้แม่มารับกลับบ้าน สภาพพพพพ ฉะนั้นช้อยส์ที่ว่าออกผจญภัยตัดสิ้นไปได้เลย
แต่ถึงแม้ที่ผ่านมาชีวิตจะหยกไม่เคยลำบากนั่นไม่ได้หมายถึงฉันเองไม่เคยลำบากเลย ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ฉันเรียกตัวเองเสมอว่า "ลูกชังพระเจ้า" และมักบอกกับทุกคนรอบตัวว่า "พระเจ้าแม่งเกลียดกู" ฉันมีเรื่องลำบากหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นตอนเกิดมาแล้วทางบ้านผิดหวังที่ไม่ใช่เด็กผู้ชาย ฉันถูกเกี่ยงกันเลี้ยงโดยผู้ใหญ่ในบ้าน ความรู้สึกเหมือนลูกบอลที่ถูกโยนไปโยนมา จนเป็นคนที่ insecure กับตัวเองมากๆ สมัยเรียนมหาวิทยาลัยก็เจอเหตุการณ์รัฐประหารจนกิจการที่บ้านมีปัญหา ความรักที่ลุ่มๆดอนๆจนเป็นคนที่ไม่ค่อยไว้ใจใคร
เติบโตมาแบบล้มลุกคลุกคลาน เปลี่ยนงานบ่อยครั้ง จนรู้สึกตัวเองไม่มั่นคงสักอย่าง จนกระทั่งได้คบกับอดีตแฟน ต้องเท้าความก่อนว่าเราเจอกันตั้งแต่ฉันอยู่ปี 1 ถ้าถามว่ารู้จักกันได้ไงก็เรื่องเมาๆนี่แหล่ะ แต่ตอนนั้นเค้ามีแฟนอยู่แล้ว เราก็เลยสนิทกันในฐานะเพื่อนร่วมวง(เหล้า) จนกระทั่งเรียนจบ พระเจ้าคงรู้สึกอนาถฉันตัวฉันเลยโคจรให้มาเจอกันอีกรอบ คบกันได้หนึ่งปี ปีนั้นฉันตรวจเจอก้อนเนื้อที่เต้านมขนาด 5 ซม. โดยที่คุณหมอบอกว่ามีโอกาส "แค่" 30 เปอร์เซ็นต์ที่จะเป็นมะเร็ง
"แค่"บ้านมึงดิ่หมอ
ฉันเข้าผ่าตัดก้อนเนื้อเพื่อนำไปวิเคราะห์ เดชะบุญที่เป็นแค่ระยะแรก ยังไม่ได้ลามไปไหน
พวกคุณอาจจะกำลังคิดว่า ก็แค่นั้นป่ะวะ
หลังรักษาที่บ้านเค้าขอให้เราเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเขา ฉันเองเลยตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อมาดูแลงานและทุกคนอย่างเต็มที่ แต่ช่วงนั้นเป็นช่วงโควิดเราเลยยังไม่มีโอกาสได้จัดงานแต่งงานกัน โดยตั้งใจไว้ว่าถ้าหลังโควิดแล้วอะไรเข้าที่เข้าทางก็คงถึงเวลาสักที
แต่คุณอย่าลืมว่าหยกคือลูกชังพระเจ้า ไอ้แก่นี่ไม่เคยให้เราได้มีความสุขนาน จนวันหนึ่งฉันก็ได้รู้ข่าวดีว่าฉันตั้งท้องอ่อนๆ อายุครรภ์น่าจะ 5 สัปดาห์ แต่แน่นอนในฐานะลูกชังพระเจ้า เด็กน้อยคนนั้นกลับไม่มีโอกาสได้ออกมาดูโลก เพราะตัวอ่อนน้อยๆสร้างถุงครอบของตัวเองไว้ แต่ตัวเองกลับไปอยู่ด้านนอก เราเฝ้าดูเค้าอยู่หนึ่งสัปดาห์จนได้รับการยืนยันจากคุณหมอว่า ความเสี่ยงนั้นสูงเกินไป และใช่ค่ะ ฉันต้องยุติการตั้งครรภ์
ไอ้พระเจ้า มึง!
ฉันยอมรับว่าเสียใจมาก เพราะตอนนั้นถ้าถามว่าความฝันคืออะไร ฉันก็จะตอบอย่างมั่นใจว่า การมีครอบครัวที่มีความสุข ถ้าสมาชิกในครอบครัวคือลูกโป่ง ลูกน้อยของฉันก็เป็นลูกโป่งลูกหนึ่งที่ฉันจำใจต้องปล่อยเขาหลุดมือและทำได้แค่มองเขาจากไปช้าๆ ฉันยอมรับว่าฉันรับรู้ได้ว่านั้นจะเป็นลางร้ายแรกและฉันได้กลิ่นโศกอนาถกรรมที่อาจจะตามมา
หลังจากนั้นไม่นานฉันกับอดีตแฟนก็มีเหตุที่ไม่เข้าใจกัน จนเรื่องทั้งหมดจบที่ว่า "เป้าหมายเราต่างกัน" ใช่ นิสัยและความชอบอะไรหลายๆอย่างของเราคล้ายกัน แต่เป้าหมายที่ต่างกันเราสองคนตัดสินใจปล่อยมือกันเพื่อแยกย้ายไปตามสู้เป้าหมายของตัวเอง เขามีเป้าหมายของเขาที่ชัดเจนมาก
แต่หยกทิ้งความฝันของฉันไปหมดแล้ว ลืมไปหมดแล้วว่าความฝันคืออะไร เต้ยกับต่ายยังมีกาลิเลโอให้หนีตาม กูเนี่ยจะหนีตามอะไร จะไปไหน จะเริ่มตรงไหนก่อนดี จนเพื่อนชาวญี่ปุ่นบอกว่า ที่ต่อไปนี้จะขอเรียกว่า ไอ้ญี่ปุ่น ไม่อยากเรียกมันว่าเป็นเพื่อนร่วมเป็นร่วมตาย แต่มันเคยมาจีบหยกแล้วจีบไม่ติด ทุบไม่แตกตกไม่ตายแถมไล่ไม่ไป งั้นมึงก็อยู่เป็นเพื่อนกูไปแล้วกัน
หยกทิ้งความฝันของฉันไปหมดแล้ว ลืมไปหมดแล้วว่าความฝันคืออะไร
เต้ยกับต่ายยังมีกาลิเลโอให้หนีตาม กูเนี่ยจะหนีตามอะไร
Yokkies
จังหวะช่วงที่หลงกำลังหลงทิศหลงทางสุดๆ หยกอัพไอจีสตอรี่ภาษาไทยแบบคนช้ำประจำซอย มันก็ทักมาก่อนที่จะได้คุยกัน ไอ้ญี่ปุ่นแนะนำว่า ถ้ายูตามหาฝันไม่เจอ ยูก็ต้องไปหาตามหาโอกาสก่อน ไอ้ญี่ปุ่นมันพูดจาซับซ้อนเกินไปหรือหยกโง่ไม่รู้เลยไม่เข้าใจ สรุปคือ มันบอกให้หยกออกจากคอมฟอร์ตโซน(อีกแล้ว) ด้วยความที่มันเติบโตที่อเมริกา มันแนะนำให้หยกไปอเมริกา
หยกปรึกษาชะเอม เพื่อนสนิทผู้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตั้งแต่หน้าแรกของหยก(หน้าก่อนทำศัลยกรรม) ชะเอมเคยไปเวิร์คแอนทราเวลที่อเมริกา แล้วชะเอมชอบเมืองนี้มาก ชะเอมย้ำว่าไปเลย มึงไปเลย มึงต้องไปเปิดหูเปิดตาบ้าง
ต้องเกริ่นก่อนว่าหยกเป็นคนไม่เดินทางไปประเทศพวก new land เด็ดขาด คือในหัวหยกอเมริกามันเถื่อนมาก หยกเคยไปปารีสแล้วโดนคนดำไถตัง โชคดีที่บ้ากว่ามันก็เลยด่ากลับ หรือจะนึกถึงเคสที่อิตาลี่ที่โดนมอเตอร์ไซค์เฉี่ยวแล้วก็ชี้หน้าด่าเค้า หรือตำนานความเมาที่ชิบูย่าแล้วโดนลวนลามก่อนที่จะใส่กลับแบบตาเขียว หรือตำนานที่ตราตรึงที่สุดคือการฟาดปากคนด้วยกระเป๋าเพราะมันดันมันหาว่าเพื่อนหยกขายตัว
ถึงจะสร้างตำนานมาแล้วครึ่งโลก แต่นึกภาพอเมริกาสิ ถ้าไปชีวิตกูคงไม่ต่างจาก เถื่อนTravel คือฉันต้องสวมวิญญาณวรรณสิงห์ ประเสริฐกุล บุกเข้าไปในประเทศที่วาไรตี้เหลือเกิน มันคงไม่ต่างจากให้หยกใส่ชุด EOD ไปบุกดงระเบิด แต่ก็ไหนๆก็ไม่มีที่จะไปแล้ว
หยก : เออๆ ไปก็ไป
ชะเอม : แล้วมึงจะไปไหน
หยก : ไปเมกาไง ก็มึงบอกให้ไป
ชะเอม : โอ๊ย กูหมายถึงมึงจะไปรัฐไหน ไปทำอะไร
ฉันจำได้ว่าตอนเด็กๆเคยดูหนังเรื่อง Night at the Museum หยกดูทุกภาคและมากกว่า 3 รอบ ภาคที่ 3 เป็นซีนที่ Smithsonian แล้วมันดูว้าวมาก แบบพิพิฑพันธ์อะไรจะใหญ่บ้าบอขนาดนั้นวะ ไม่มีของหลุดออกมาบ้างหรอ ในนั้นมันมีอะไรอีกอีกที่หยกยังไม่ได้เห็น มันมีอะไรอีกที่คนไม่เคยพูดถึง ในนั้นประกอบด้วย 19 พิพิฑภัณฑ์ มันกระตุกต่อมเนิร์ดของหยกมาก และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของเนิร์ดคนหนึ่งที่ออกตามหาความฝันที่หายไป และนี่คือการก้าวสู่โลกใบใหญ่ครั้งแรกในรอบ 5 ปีที่เรียกว่าการออกตามหาความฝันและตัวตนที่หายไป
โฆษณา