18 พ.ย. 2023 เวลา 19:38 • ความคิดเห็น
เราก็ลองมองดูตัวเองดู ว่าเราเห็นจิตของตัวเองที่อาศัยอยู่ในเรือนกายของคุณบิดามารดา เรารู้จักจิตของตัวเองได้หรือไม่ว่าเป็นอย่างไร จับต้องได้มั้ย มีอะไรบ้างในกายนี้ ที่เป็นของตัวเอง ..แล้วจิตเราที่แท้จริงเป็นอย่างไร อารมณ์ที่แท้จริงเป็นอย่างไร อารมณ์นั้นปกปิดอยู่
..คราวนี้ เมื่อเราอยากจะรู้จัก ..ในสิ่งที่เป็นนามธรรม เราก็สร้างบุญกุศลขึ้นมา ดูรอยพระเวสสันดร พระสิทธัตถะท่านทำอะไร เราก็เอามาประพฤติปฏิบัติบ้าง สร้างทาน สร้างบุญ ลดละอารมณ์ ขจัดอารมณ์โลภโกรธหลง ให้เบาบาง ..ปฏิบัติธรรมเราก็จะค่อยๆเรียนรู้ในสิ่งที่เป็นนามธรรมค่อยเรียนรู้ขึ้น
เมื่อก่อนก็ ไม่ค่อยเขื่อเรื่องราวในสิ่งไม่สามารถมองเห็นด้วยสายตา พอเข้าวัดปฏิบัติธรรม ก็อธิษฐานขอ ..ขอให้เห็นในสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยสายตา ง.แล้วก็ได้มองเห็นคนแก่ .เปิดมุ้งที่เรานอนอยู่ แล้วเดินหายไป ..เห็นด้วยสายเปล่า ก็ไปถามพระท่าน เรื่องนี้ ท่านก็บอกว่า ก็เป็นญาติของเรานั่นแหละ เค้าอนุโมทนาที่มาประพฤติปฏิบัติธรรมขึ้น
เรื่องของสิ่งที่มองไม่เห็น มันมีมากมายก่ายกอง ..อารมณ์นึกคิดต่าง อารมณ์โลภโกรธหลง ทะเยอทะยาน ..เค้าก็มีตัวเหมือนกัน เราอยู่กับอารมณ์ ที่นำพาจิต ไปสร้างกรรมสร้างทุกข์ให้แก่จิต แต่เราก็ไม่สามารถเห็นตัวตนของอารมณ์ได้เลย
แล้วอารมณ์ที่ปกคลุมอยู่ ก็มีอำนาจ อารมณ์นั้นเกิดขึ้น มันมาจากไหนกัน เราสกัดอารมณ์ได้มั้ย ดับอารมณ์ได้มั้ย หากเราดับอารมณ์ ทำให้การคิดอะไรไม่มีอารมณ์ปรุงแต่งได้ จิตเราก็ผ่องใสขึ้น ก็ได้ค่อยเรียนรู้จักสิ่งมองไม่เห็น เราอยากรู้ในสิ่งเหล่านี้
เราก็ต้องปฏิบัติธรรมขึ้นมา เราก็อาจจะได้เรียนรู้จักสิ่งที่มองไม่เห็นแช่เกิดขึ้น แล้วไปเห็นสิ่งเรานี้ จิตเราจะเป็นอย่างไร ดีใจเสียใจ ยืดถือมั้ย แล้วจิตเรากลั่นกรองเหตุผลได้มั้น ในสิ่งมองไม่เห็นด้วยสายตาเห็นแล้วเราได้ประโยชน์อะไรขึ้นม กับการเห็นในสิ่งที่เป็นนามธรรม
พอเราปฏิบัติธรรมาเข้า สร้างบุญมากเข้า เวลาไปงานศพ ก็ีเรื่องราวแปลกให้ได้เรียนรู้ หรือ เจอะเตอเรื่องก่อนที่คนจะตาย เราก็ได้เรียนรู้จักเรื่องจิตที่ออกจากร่าง ไปเป็นอย่างไรบ้าง เรื่องที่เค้าทำวิธีส่งวิญญาณ.ไปสวรรค์อะไรนั่นจริงหรือ..คนที่ทำพิธีส่งวิญญาณยิ่งใหญ่กว่ากรรมหรือ .แล้วพวกที่เล่นคาถาอาคมไสยศาสตร์จิตออกจากร่างไปไหนกัน
..เราก็จะได้ย้อนกลับมาดูตัวเราเอง ว่าเราควรแก้ไขตัวเราเอง ว่าเมื่อถึงเวลาจิตออกจากร่าง หากไม่สร้างบุญกุศลบารมี ลดละอารมณ์ จิตก็มีแต่กรรมนำไป ..การได้เรียนรู้ในสิ่งที่มองไม่เห็น มันเปเรื่องเฉพาะตัว ที่ต้องอาศัยการใฝ่ใจ ใฝ่ปฏิบัติธรรมไปตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เรือ่งคนที่รู้จัก ที่ชอบทำบุญ อยากร่ำรวย เรียกทำบุญ เรียกร้องอำนาจวาสนา พอไปงานศพ ภรรยาเค้าก็บอกว่า อุตส่าห์ต่อสู้มาแถบตา มีฐานะดี เอาอะไรไปไม่ได้ ชีวิตมีแค่นี้ เราก็ไม่พูดอะไร เพราะเค้าก็ต้องทุกข์ทรมานก่อนตาย ผ่าตัดสมอง ปอดก็ปัญหา
พอเราจะกราบพระ จิตคนที่ตายก็เข้ามาขอ ..หลังจากนั่น ธรรมท่านก็บอกให้ดูว่าจิตเค้าจะไปมีสภาพอย่างไร เป็นรูปตัวสูงๆ เท่าต้นตาล ..เค้าต้องไปทุกข์ทรมาน แล้วใครจะกล้าไปบอกภรรยา ลูกของเค้า ว่า พ่อเค้าต้องไปอยู่ในสภาพที่เป็นเปรต ..ก็ต้องรู้เงียบๆ ว่ากรรมมีจริง ..พูดไปเค้าก็ว่าเอา เราปฏิบัติธรรมของเราเงียบๆ รู้แล้วก็ละมันไป ไม่ไปยึดถือมาเป็นอารมณ์ให้เกิดมีกรรม
หมาแมวที่อยู่ในวัด ..จิตของเค้าไม่รู้จักดีชั่ว ใช้กายสังขาร มากราบพระ ทำกิริยาดีๆ สวดมนต์ ทำบุญไม่ได้ ส่วนผู้ที่มีกายเป็นมนุษย์เท่านั้น ที่สามารถใช้กายวาจาใจ มาสร้างบุญกุศล สร้างเรื่องราวดีได นั่งพับเพียบ ประพฤติปฏิบัติธรรมได้ แมวหมา..มันทำไม่ได้ หมามันหอนได้ ..ยามค่ำคืน เวลามีสิ่งแปลกมา เช่นเปรตเร่ร่อน ผ่านมา มันมีตากรรม..หูกรรม เห็นได้ ได้ยินเสียงเปรตได้ เป็นความพิเศษอย่างหนึ่งของจิตที่ไปอาศัยในกายที่เป็นหมาอย่างหนึ่ง แต่มันเรียกพ่อแม่ไม่ได้ ..ไม่รู้จักพ่อแม่ด้วยซ้ำไป..
โฆษณา