18 พ.ย. 2023 เวลา 23:27 • ความคิดเห็น

การตกงานที่รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าการสมัครงานครั้งนี้มันจะทำให้เราตกงาน

แน่นอนว่าเงินคือตัวกำหนดทั้งหมดในวงจรของการทำงานในองค์กร เงินถูกจ่ายให้กับความสามารถของคน คนที่รับเงินเพื่อเป็นค่าจ่้างสำหรับความสามารถที่เขาคนนั้นมี จะสูงจะต่ำย่อมได้ต่างกัน ตกตามมาเป็นยอดเงินที่ต้องรอให้ออกมาแต่ละเดือน
การตดลงกันในการสัมภาษณ์และการลงนามร่วมกัน บางทีถ้าเข้ากันได้ดีตั้งแต่แรก สัญญษมันก็แค่กระดาษ ส่วนเรื่องที่คุยกัน มันก็แค่ลมปาก จะเชื่อกันหรือไม่ระหว่างกันทั้งสองฝ่าย ย่อมแล้วแต่ ว่าใครจะอ่านใจใครได้ลึกซึ้งกว่ากัน
แล้วก็แน่นอนคนที่ทำงานได้เงินเยอะหรือที่ชอบเรียกว่าเงินเดือนสูง มักตกอยู่ในจุดที่เพ่งเล็ง เมื่อเกิดภาวะที่องค์กรขาดทุนย่อยยับ เรียกว่าติดลบ สิ้นเนื้อประดาตัว คนที่ไร้ตำแหน่งหน้าที่สำคัญ ก็จะถูกจี้ ถูกตามดู ว่าทำงานไหม มีคุณค่ามากพอให้องค์กรรับรู้ได้ถึงจำนวนเงินที่จะได้กลับมาไหม
แต่ถ้าเป็นตำแหน่งที่ไม่มีอะไรเลยล่ะ เป็นตำแหน่งลอยไปลอยมาสั่งให้ทำอะไรก็ทำไป ไม่มีทีมที่ต้องดูแล เป็นอย่างงี้ไปเรื่อยๆ ตกลงกันตั้งแต่แรกว่าทำงานแบบ remote หรือ hybrid ได้เพื่อ save cost ต่างๆ
มันก็เป็นตำแหน่งลอยอยู่ดี ไม่ได้เป็น Sales ไม่ได้เป็น Marketing ไม่ได้เป็น Key Person ในสายตาใคร ไม่มีคุณค่า องค์กรไม่รู้จะเอาไปทำอะไร
แถมอายุก็มากไปหรือไปสำหรับตำแหน่งที่มีจะเติมให้เต็มได้ จะบอกขอลดเงินเดือน ใครมันจะอยู่ จะบอกให้ขอเปลี่ยนตำแหน่งที่ลดหลั่นลงไป ใครจะทน
สุดท้ายก็จบลงที่การไม่ต้องต่อสัญญากันไป บอกล้างลาให้เรื่องมันซาลง แล้วทำตัวหายไป fade out ไปว่างั้นก็ได้
ธรรมชาติของคนทำงาน แล้วเจอมาแล้วหลายสิบร้อยพันครั้ง กันเหตุการณ์ที่จู่ๆ คนนั้นคนนี้ก็หายไปเฉยๆ มีประกาศบ้าง ไม่มีบ้าง แล้วแต่ ไม่มีมาตรฐานตายตัว
แต่มันมีความจริงที่เห็นอยู่อย่างหนึ่งคือ เมื่ออายุมาก เงินเดือนสูงตามตำแหน่ง นั่นก็ถึงจุดที่เรียกว่าอยู่ในวังวนทะเลแห่งการถูกล่าด้วยการบีบให้ออกด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง
วัฒนธรรมการผูกคนเข้ามาทำงานร่วมกันจนกลายเป็นองค์กรนั้น มันเก่าแก่มาร้อยกว่าปีแล้ว วิธีแบบนี้ก็เช่นกัน เราลืมกันไปแล้วหรือ ก่อนนี้ เราเป็นเพียงแค่ลิง หากินกับกล้วยอ้อย เศษอาหารที่ตายหรือเน่าหล่นจากจากต้นเท่านั้น
ไม่มีรูปบบสังคม ไม่มีความเป็นบริษัท จำกัด หรือแม้แต่มหาชนอะไร เราคือมนุษย์ มีหิว มีโกรธ มีเกลียน มีเสียใจ มีดีใจ ร่างเริง และสุขใจ ปะปนกันไป
อยากให้คนอ่านจำไว้ว่า การเป็นพนักงานไม่น่าจะถือว่าเป็นความมั่นคงของชีวิตเสมอไปแล้ว มันไม่แน่นอน แล้วการคิดว่าออกมายืนหยัดสร้างธุรกิจ ขายของเอง หรืออยู่อย่างสันโดษนั้นจะทำให้รอดไปได้เป็นเดือนๆ มันก็อาจจะหรือไม่จริง สำหรับคนบางคน
เพราะแต่ละคนผ่านอะไรมาไม่เหมือนกัน อย่าไป judge ใครเขาก่อนตั้งแต่แรกพบ แล้วก็ไม่ต้อง judge ตัวเองด้วย มันมีแต่การกระทำที่ทำไปแล้วมันกลายเป็นความจริง เป็นข้อเท็จจริงของการกระทำ สุดท้ายมันก็คือกรรม ที่ใครทำ ใครเขาก้ย่อมต้องรับกลับไป
เอาจริงๆ ไม่เข้าเรื่องกรรมเวรหรอก แต่การถูกบีบให้ออกเป็นเรื่องที่น่าสมเพช เป็นเรื่องของคนแก่ที่ควรจะไปเข้าที่พักรอความตายได้แล้ว อย่ามาทำงานเลย คนรุ่นหลังเติบโตมาใหม่ทุกวัน แทนที่คนทำงานที่เคยรู้จักกับเครื่องพิมพ์ดีด โทรสาร โทรเลข หรือแม้แต่การส่งจดหมายด้วยสแตมป์
เลิกจ้างกันไปเพราะไม่มีเงิน ไม่มีหน้าที่ ไม่มีตำแหน่งให้ทำ มันไม่ได้มีอะไรยาก ก็แจ้งระหว่างกัน แต่การยัดเยียดคำพูดที่สะเทือนอารมณ์ในระยะเวลาที่เหลือจนถึงวันสุดท้ายนั้น มันทุเรศในสายตาประชาคมโลก มันไม่ทำให้โลกสดใสขึ้นมาเลย
อนาคตคนเราอาจจะหมุนมาเจอกันอีกก็เป็นไปได้ ทำไมต้องร้ายใสกัน ทำไมต้องไม่จริงใจ เสแสร้งกัน เอาเรื่องจริงของแต่ละคนมาคุยกันมันผิดตรงไหน
สุดท้ายแล้วจริงๆ สำหรับคนที่ตกงานแบบเหวอๆ กลางอากาศ ไม่ต้องทำอะไรเลย รอวันและเวลาให้มันหมุนไป แล้วสุดท้ายมันจะวนกลับมาจบที่จุดเริ่มเอง แล้วทุกอย่างก็คงตีกลับไปยังคนที่เขาทำกันไว้
ไม่มีใครดีตลอดไป ไม่มีใครร้ายตลอดชีวิตหรอก
สักวัน ทุกข์ของใครก็คงต้องเวียนว่ายกลับที่ของคนนั้นเสมอ
โฆษณา