25 พ.ย. 2023 เวลา 12:00 • ประวัติศาสตร์

ภาษีอากรสมัยอยุธยา ใครต้องจ่ายอะไรบ้าง? 💸💸

ละครพรหมลิขิตก็ยังมีกระแสแรงอย่างต่อเนื่อง ชวนให้ทุกคนอยากย้อนไปรู้จักเรื่องราวในสมัยอยุธยาซึ่งเป็นหนึ่งในช่วงประวัติศาสตร์ที่สำคัญของคนไทยเรา บทความวันนี้จึงจะพาย้อนไปรู้จัก ‘การเก็บภาษี’ ในสมัยอยุธยาว่ามีอะไรบ้าง
1. จังกอบ 💸
จังกอบ หรือ จำกอบ คือเงินหรือสินค้าที่จัดเก็บในสมัยอยุธยา จากบันทึกของลาลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศสก็ได้เขียนบันทึกเกี่ยวกับเรื่องเก็บจังกอบของสยามไว้ว่า การเก็บจังกอบมี 2 ประเภท คือ ‘จังกอบเรือขนสินค้า’ ซึ่งจะเก็บตามขนาดของลำเรือ
ต่อมาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชกำหนดให้เรือทุกลำที่ปากกว้างกว่า 6 ศอกขึ้นไป จ่ายจังกอบลำละ 6 บาท และอีกประเภทคือ ‘จังกอบสินค้า’ คือเก็บสินค้าทุกชนิดที่ผ่านทางออกสู่ทะเล
หลักในการเก็บจังกอบคือ ‘เก็บสิบหยิบหนึ่ง’ หรือเข้าใจง่าย ๆ คือเก็บร้อยละ 10 โดยไม่จำเป็นต้องเป็นเงินเท่านั้น แต่เป็นสินค้า สิ่งของ สัตว์ก็ได้เช่นเดียวกัน
โดยสถานที่ที่จัดเก็บจังกอบเรียกว่า ‘ขนอน’ เพราะงั้นขนอนจึงมีหลายชื่อเรียกตามพื้นที่ที่จัดเก็บภาษี เช่น ขนอนบก ขนอนน้ำ ขนอนใน เป็นต้น และมีผู้ดูแลขนอนเรียกว่า ‘นายขนอน’ นั่นเอง
2. อากร 💸
อากร คือ เงินหรือทรัพย์สินที่ประชาชนจ่ายให้จากการประกอบอาชีพ ทำมาหากิน หรือเรียกง่าย ๆ ว่า ‘ใครมีรายได้ต้องจ่ายอากร’ โดยอากรมีหลายประเภท เช่น อากรค่านา อากรสวน อากรสุรา อากรน้ำ อากรบ่อนเบี้ย อากรโสเภณี เป็นต้น
อากรค่านา เป็นอากรที่ถูกกล่าวถึงบ่อยที่สุดเพราะชาวบ้านสมัยก่อนทำอาชีพทำนาเสียเป็นส่วนใหญ่ โดยสมัยพระนารายณ์มีหลักการเก็บคือ ไร่ละสลึงต่อปี และหากใครมีพื้นที่นาแต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ก็ไม่ต้องเสียอากรค่านา ภายหลังจึงมีการออกกฎหมายเก็บอากรค่านาสำหรับนาที่ปล่อยรกร้างไว้
อีกหนึ่งอากรที่อ่านแล้วต้องร้องเอ๊ะ คือ ‘อากรโสเภณี’ จากบันทึกลาลูแบร์ได้ระบุว่า หากสตรีไม่ว่าจะเป็นภรรยาหรือลูกสาวของผู้ใดที่ประพฤติชั่วร้ายแรง ก็อาจถูกส่งขายให้แก่ผู้ชายที่มาซื้อ โดยผู้ชายดังกล่าวจักต้องเสียเงินภาษีถวายแด่ขุนหลวงอีกด้วย
จะเรื่องจริงเท็จประการใดไม่มีใครทราบ หากแต่นี่เป็นเพียงบันทึกที่บอกเล่าขานต่อกันเท่านั้น
3. ส่วย 💸
ในบรรดาการจัดเก็บภาษีของอยุธยา ‘ส่วย’ ดูเป็นคำที่คนคงคุ้นหูกันมาก และถูกใช้ในทางลบเสียมาก แต่ในสมัยอยุธยาคำว่า ‘ส่วย’ ถูกให้ความหมายไว้หลากหลายจากกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ประการแรกคือ เป็นสิ่งของที่รัฐเรียกร้องเอาจากชาวบ้านเพื่อตอบแทนการปกป้องคุ้มครอง
ประการที่สองคือ เงินที่ราชการเรียกเก็บจากผู้ชายที่ไม่ได้เข้ารับราชการทหาร เพราะสมัยนั้น ผู้ชายจะต้องถูกเกณฑ์ไปเป็นแรงงานปีละ 6 เดือน โดยหากใครไม่มาเข้ารับราชการก็ต้องเสีย ‘ส่วยแทนแรง’ เพื่อให้รัฐจ้างคนอื่นมาทำงานแทน
ประการต่อมาคือ หมายถึง เงินที่ราชการกำหนดให้ประชาชนทุกคนชำระเพื่อการเฉพาะบางอย่าง เช่น สร้างป้อมปราการ ประการสุดท้ายคือ ส่วยที่มาจากกองมรดกที่ทายาทไม่สามารถดูแลได้หรือเกินกำลังจะต้องถูกริบเป็นของหลวง เป็นต้น
4. ฤชา 💸
คือ ค่าธรรมเนียมที่ราชการเรียกเก็บจากประชาชนเป็นเฉพาะเรื่องไป เช่น หากจะไปขอโฉนดที่ดินก็ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมสำหรับค่าประทับตราแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดิน สิ่งนี้เรียกว่า ‘ฤชา’ นั่นเอง หรือในกรณีเป็นความกันในศาล ผู้แพ้จะต้องจ่ายเงินให้กับผู้ชนะ รัฐจะเก็บเงินส่วนนี้ไว้ครึ่งหนึ่งเพื่อเป็นรายได้แก่ศาล หรือที่เรียกว่า ‘เงินพินัย’
ผู้เขียน : ขัตติยาภรณ์ ด้วงแก้ว Political Analyst, Bnomics
ภาพประกอบ : บริษัท ก่อการดี จำกัด
════════════════
Bnomics - Bangkok Bank Economics
'Be an Economist for Everyone'
วิเคราะห์ เจาะทุกประเด็นเศรษฐกิจ ให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ
════════════════
Source:
โฆษณา