7 เหตุผล ทำไมยุค อิชิอิ จะเปรี้ยงปังกว่ายุคนิชิโนะ
มาซาทาดะ อิชิอิ กลายเป็นโค้ชทีมชาติไทยคนใหม่เรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งเสียงปรบมือ สดุดีแซ่ซ้องกันทั่วประเทศ เพราะนี่คือชอยส์ที่เหมาะสม ลงตัวจริงๆ
แม้จะยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการจากสมาคม แต่มันไม่พลิกหรอกครับ ยังไงก็อิชิอิแล้ว สมหวังกองเชียร์ที่กระตุ้นมาดามแป้งกันสุดใจจริงๆ
จะว่าไปแล้ว จังหวะของอิชิอิมันลงตัวพอดี ลองคิดดูว่า ถ้าหากจบคิงส์คัพ เราปลดมาโน่ โพลกิ้งทันที หลายคนอาจจะมีคำถามในใจนิดนึง เพราะมาโน่พาทีมได้แชมป์ AFF สองสมัยซ้อน คุณยังไม่ให้โอกาสเขาคุมทัวร์นาเมนต์ใหญ่เลยสักนัด รู้ได้ไงว่าเขาจะสู้ในระดับเอเชียไม่ได้
แต่เมื่อมาโน่ ได้โอกาสแล้ว และผิดพลาดมหันต์ในเกมแพ้จีน ถึงตรงนี้ทุกคนยอมรับเป็นเอกฉันท์ ว่ามาโน่เก่งในเลเวลอาเซียน แต่ยังไม่แกร่งพอที่จะทำให้เราไปไกลกว่านั้น
อิชิอิ จึงได้เสียบเข้ามา แบบมีแรงกดดันน้อยลง ไม่ต้องมีคำถามจากใครว่า "ถ้ามาโน่ยังอยู่นะ?"
หลังจากมาดามแป้ง คอนเฟิร์มว่า อิชิอิ จะเป็นโค้ชคนใหม่ มีคนยกไปเปรียบเทียบกับอากิระ นิชิโนะ ที่เคยเป็นเฮดโค้ชทีมชาติ ระหว่างปี 2019-2021
มีเสียงวิจารณ์ว่าอย่าไปหวังเยอะเลย อิชิอิเล่นแนวทาง Japan Way เดี๋ยวก็ลงเอยแบบนิชิโนะนั่นแหละ
ในมุมของผม 2 คนนี้เป็นคนญี่ปุ่นเหมือนกันก็จริง แต่อิชิอิ มีเงื่อนไขบางอย่าง ที่ส่งเสริมต่อการประสบความสำเร็จของทีมชาติไทยมากกว่านิชิโนะ
มีเรื่องอะไรบ้าง ผมจะแยกย่อยเป็นประเด็นนะครับ
-------------------
[ 1- อิชิอิ มีประสบการณ์ในไทยมาก่อน ]
อากิระ นิชิโนะ เคยทำทีมได้ทุกแชมป์ในญี่ปุ่น และเคยเป็นเฮดโค้ชทีมชาติญี่ปุ่นชุดใหญ่มาแล้วก็จริง แต่เขาไม่เคยมีประสบการณ์นอกญี่ปุ่นมาก่อนเลย และที่สำคัญไม่มีพื้นฐานเกี่ยวกับวงการฟุตบอลไทยมาก่อนด้วย
นิชิโนะ ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ ทำความรู้จักนักเตะแต่ละคน ว่าชื่ออะไร เล่นสไตล์ไหน คือกว่าจะจับต้นชนปลายถูก ก็ต้องใช้เวลามาก
ตรงข้ามกับอิชิอิ เขาคุมทีมในไทยลีกมา 3 ซีซั่น ได้แชมป์ลีก 2 ครั้ง รู้คุณสมบัติของนักเตะไทยแต่ละคน ว่าดีตรงไหน ควรเล่นอย่างไร ไม่ได้นับหนึ่งใหม่แต่แรก นี่คือข้อได้เปรียบที่สำคัญมาก
-------------------
[ 2- อิชิอิ อายุน้อยกว่านิชิโนะ ]
ตอนที่นิชิโนะ คุมทีมชาติไทย เขามีอายุ 64 ปีแล้ว เป็นช่วงปลายของอาชีพ ตรงข้ามกับอิชิอิ ณ เวลานี้ เขามีอายุ 56 ปีเท่านั้น คือคุมทีมชาติ ตอนอายุน้อยกว่านิชิโนะถึง 8 ปี
การที่อายุน้อยกว่า ก็แปลว่า สามารถเข้าใจเทรนด์ฟุตบอลใหม่ๆ ได้ง่ายกว่า ตามปกติแล้วโค้ชที่อายุน้อยกว่า ก็มักจะกล้าทดลอง กล้าได้กล้าเสียมากกว่า โค้ชที่มีอายุเยอะด้วย
ตัวอย่างหนึ่ง ที่น่าสนใจคือตอนคุมสมุทรปราการ อิชิอิ ควักเงินส่วนตัวซื้อโดรน เพื่อเอามาใช้จับภาพในการฝึกซ้อมด้วย ซึ่งไอเดียแบบนี้ นิชิโนะไม่มี
นอกจากนั้น ด้วยความที่อายุ 56 ปี สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย สามารถวางแผนระยะยาวกับอิชิอิได้ ต่างจากเคสของนิชิโนะ ที่ตอนนั้น 64 ปีแล้ว คุมได้อีกไม่นานก็เตรียมรีไทร์ สมาคมไม่สามารถวางอะไรยาวๆ กับนิชิโนะได้เลย
-------------------
[ 3- อิชิอิ คุมทีมชาติชุดใหญ่อย่างเดียว ]
อากิระ นิชิโนะ ต้องคุมทีมชาติไทยสองรุ่น คือชุดใหญ่ และ ชุด u-23 แน่นอน เขาอาจคุมพร้อมกันได้ แต่มันคือการแบกความรับผิดชอบมหาศาล ต้อง scout ผู้เล่นทั้งสองชุด ลงคุมทัวร์นาเมนต์ ทั้ง 2 รุ่น
โค้ชทีมชาติส่วนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จ ก็มักจะคุมแค่ชุดเดียวเท่านั้น มันจะได้โฟกัสไปเต็มๆ เลยแค่ทีมของตัวเอง ซึ่งนี่คือสิ่งที่จะเกิดกับอิชิอิ เขาจะคุมแค่ชุดใหญ่อย่างเดียว
-------------------
[ 4- นิชิโนะ เจอโควิดเล่นงาน ทำให้แผนขาดตอน ]
นิชิโนะ กำลังคุมทีม มีทิศทางที่พอใช้ ในฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก เขาพาทีมชนะยูเออี (เหย้า), เสมอเวียดนาม 2 นัดเหย้าเยือน, ชนะอินโดนีเซีย (เยือน), แพ้มาเลเซีย (เยือน)
พอเจอโควิดปั๊บ ความซวยของนิชิโนะคือ ในรอบแบ่งกลุ่ม จากปกติที่เราจะได้เล่นเกมเหย้าอีก 2 นัด (อินโดนีเซีย, มาเลเซีย) ต้องเปลี่ยนไปเล่นรอบคัดเลือกแบบล็อกดาวน์ ที่ยูเออี อยู่ๆ เกมเหย้าก็หายไปเลย 2 นัด
นอกจากนั้น เพราะโควิด ทำให้เรามีนักเตะแบบไม่ฟูลทีมในช่วงคัดบอลโลกที่ยูเออี ธีราทรอยู่ที่ญี่ปุ่น โดนกักตัวเดินทางไปด้วยไม่ได้ ชนาธิปก็เจ็บ ธีรศิลป์ก็เจ็บ แถมตอนซ้อมรวมทีม มีคนในแคมป์ติดเชื้อ ต้องหยุดซ้อม 14 วัน ทุกอย่างไม่พร้อมหมด
เมื่อนิชิโนะไม่ได้ทีมที่ดีที่สุด จนสุดท้ายร่วงบอลโลกอย่างน่าเจ็บใจ เขาต้องสังเวยด้วยการโดนไล่ออกจากตำแหน่ง
ส่วนอิชิอิ ตอนนี้สามารถทำตามแผนงานได้ตามปกติ ถือว่าไม่ต้องลำบากใจเท่าเคสของนิชิโนะแล้ว
-------------------
[ 5- นิชิโนะ เลือกล่ามที่ไม่เข้าใจเรื่องฟุตบอล ]
นิชิโนะพูดภาษาไทยไม่ได้ ดังนั้นต้องใช้ล่ามที่พูดไทย-ญี่ปุ่นได้ เพื่อเป็นตัวกลาง ระหว่างนักเตะกับโค้ชคนอื่น ปัญหาคือ นิชิโนะไปเลือก ธีรเนตร ยูกิ ทานากะ ล่ามที่เขาสนิทสนมเป็นการส่วนตัว เคยเป็นคนหาที่พักให้เขาในประเทศไทยด้วย
จริงๆ สมาคมทัดทานไปแล้ว ว่าแค่พูดไทย-ญี่ปุ่น อย่างเดียวไม่พอ แต่ต้องเข้าใจเรื่องฟุตบอลอย่างลึกซึ้งด้วย แต่นิชิโนะยังใช้งานคนเดิมตามที่ตั้งใจ ซึ่งมันมีผลโดยตรงต่อความเข้าใจเกมในสนามของนักเตะ
เคสของอิชิอิ ตอนอยู่สมุทรปราการ และบุรีรัมย์ เขาใช้งานล่ามชื่อ "จ๋าย" ที่สามารถสื่อสารได้ 3 ภาษา ไทย-อังกฤษ-ญี่ปุ่น เข้าใจศัพท์ฟุตบอลเป็นอย่างดี และด้วยความที่รู้ 3 ภาษา จึงเชื่อมโยง แปลอังกฤษ-ญี่ปุ่น และ ไทย-ญี่ปุ่น ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นิชิโนะอาจจะมีไอเดียดีๆ แต่เมื่อการสื่อสารไปไม่ถึงนักเตะ แผนของเขาก็ไม่สัมฤทธิ์ผล ซึ่งอิชิอิรู้ปัญหาตรงนี้แล้ว เมื่อได้เริ่มทำงานจริงๆ คงจะไม่พลาดแบบนั้นอีก
-------------------
[ 6- อิชิอิ คุ้นเคยกับการคุมทีมเล็กและใหญ่ ]
อากิระ นิชิโนะ ไม่เคยคุมทีมในระดับต่ำกว่าเจลีกแม้แต่ครั้งเดียว คือใช้งานนักเตะระดับคุณภาพมาตลอด ตรงข้ามกับอิชิอิ ที่เคยคุมทั้งทีมใหญ่และทีมเล็ก
ในเจลีก อิชิอิเคยคุมคาชิม่า แอนท์เลอร์ส จนได้แชมป์เจลีก แต่ก็เคยคุม โอมิยะ อาร์ดิจา ที่เล่นในเจทูเหมือนกัน
ส่วนในไทย อิชิอิคุมสมุทรปราการ ที่มีขนาดไม่ใหญ่ มีนักเตะดังไม่เยอะ แต่ก็เคยคุมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ทีมที่มีองค์ประกอบครบทุกอย่าง
ดังนั้น อิชิอิ จะมีความเข้าใจเรื่องข้อจำกัดต่างๆ มากกว่า รู้ธรรมชาติของนักเตะที่มาจากทีมเล็ก นอกจากนั้นเชื่อว่า จะมองเห็นศักยภาพของนักเตะจากทีมเล็กๆ ได้มากกว่าด้วย
ถ้าหากเขาปลุกปั้นเจริญศักดิ์ วงษ์กรณ์ เป็นดาวแอสซิสต์ของไทยลีกได้สำเร็จ ก็ย่อมปั้นดาวรุ่งจากทีมเล็กสักคน ขึ้นไปติดทีมชาติชุดใหญ่ได้เหมือนกัน
-------------------
[ 7- นิชิโนะ มาคนเดียวโดดๆ ไม่มีสตาฟฟ์ ]
อากิระ นิชิโนะ ตอนคุมทีมชาติไทย เขามาคนเดียวโต้งๆ เลย แล้วมาหาสตาฟฟ์คนไทยข้างหน้าเอา ซึ่งโค้ชเฮง วิทยา เลาหกุล วิจารณ์ว่า "นิชิโนะมาทำทีมชาติไทยคนเดียว ไม่มีสตาฟฟ์ญี่ปุ่นมาเลย ทำให้การทำงานมันต่างกันออกไป ถ้ามีคนญี่ปุ่นมาช่วยงานจะละเอียดกว่านี้ โดยเฉพาะการ Scout คู่ต่อสู้ อีกอย่างถ้ามีคนญี่ปุ่นอยู่ในทีมสตาฟฟ์ด้วย นิชิโนะจะไม่รู้สึกโดดเดี่ยว เพราะมีคนคอยช่วยปรึกษาตลอดเวลา"
การไม่มีทีมงานเลยสักคน ทำให้ทำงานลำบากมาก ดูไม่สมูธนัก แต่ในเคสของอิชิอินั้น มาดามแป้งยืนยันแล้วว่า "โค้ชชาวญี่ปุ่นพร้อมทีมงานสตาฟฟ์โค้ชส่วนตัว เข้ามาทำหน้าที่แทนมาโน่ โพลกิ้งทันที" นั่นคืออิชิอิ จะไม่โดดเดี่ยว มีทีมงานทำงานด้วยกัน ทุกอย่างน่าจะราบรื่นขึ้นกว่ายุคของนิชิโนะ
-------------------
[ สรุป ]
นิชิโนะ เป็นโค้ชที่เก่งแน่นอน แต่ด้วยองค์ประกอบหลายอย่าง ทำให้เขาไม่สามารถเปล่งประกายได้เต็มที่ ยิ่งมีปัญหาเรื่องคุณแม่มาเสียชีวิต จนต้องบินกลับญี่ปุ่นบ่อยๆ ส่งผลให้การทำงานในไทยไม่ค่อยต่อเนื่องอีกด้วย
ดังนั้นในภาพรวม อิชิอิ กับ นิชิโนะ เป็นคนญี่ปุ่นเหมือนกันก็จริง และแนวคิดฟุตบอลก็คือการเล่นบอลสั้นๆ เน้นการครองบอลคล้ายกัน แต่สองคนนี้ มีรายละเอียดที่ต่างกันอยู่หลายเรื่อง
สรุปคืออิชิอิ ได้เปรียบเพราะจะได้ทำงานในสภาพที่พร้อมกว่า และตัวเขาเองก็มีความเข้าใจฟุตบอลไทยมากกว่านิชิโนะครับ
สุดท้าย ผมได้ยินที่มีคนบอกว่า "โค้ชคนไหนก็เหมือนกัน ถ้าหากสมาคมเราเป็นแบบนี้ ถ้าหากนักเตะเรายังมีแค่นี้ ใครคุมก็ไม่ต่างกัน"
คือเข้าใจอยู่ครับ แต่อยากให้มองว่า ปัญหาต่างๆ มันแก้ไปพร้อมๆ กันได้
เดี๋ยวเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า จะมีการเปลี่ยนนายกสมาคมแล้ว อะไรๆ อาจไม่เหมือนเดิม รวมถึงมาดามแป้งเอง ก็เข้าใจกระแสสังคมมากขึ้น รู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ เชื่อได้เลยว่า เราจะไม่เห็นเธอพานักบอลไปฟังเทศน์ ก่อนบอลเตะ 3 วันอีกแน่นอน ทุกอย่างคือการเรียนรู้ครับ
เรื่องนอกสนามก็แก้ไขกันไป แต่ในสนามนั้น การที่เรามีโค้ชที่เข้าใจฟุตบอลไทย มีดีกรีแชมป์เจลีกและไทยลีก แถมมีแพสชั่นอยากคุมทีมชาติไทย ยังไงก็ย่อมดีกว่า เอานาย A นาย B มาคุมแน่ๆ จริงไหมครับ
สำหรับเป้าหมายที่ผม คาดหวังกับอิชิอิในเบื้องต้น คือผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายในเอเชียนคัพให้ได้ครับ (จากทั้งหมด 24 ทีมในรอบแบ่งกลุ่ม)
ส่วนฟุตบอลโลกด้วยความที่เราพลาด แพ้คาบ้านกับจีนมาแล้ว เข้าใจว่ามันหวังยาก แต่เอาเป็นว่าขอให้อิชิอิทำผลงานให้ดีที่สุดก็แล้วกัน ถ้าเข้ารอบได้ก็ดีใจ แต่ถ้าไม่ได้ก็ยอมรับครับ
ที่สำคัญที่สุดคือขอให้เราเล่นฟุตบอลได้ดี สร้างสไตล์บางอย่างขึ้นมาได้ และมีดาวรุ่งพุ่งขึ้นมาต่อเนื่อง ไม่ยึดติดแต่คนเดิมๆ สร้างเจเนเรชั่นใหม่ขึ้นมาได้ ทุกๆ ตำแหน่ง ผมคาดหวังแค่นี้ครับ
เป็นกำลังใจให้อิชิอิครับ กับ Japan Way ครั้งที่ 2 ซึ่งผมมีความมั่นใจลึกๆ ว่า ครั้งนี้ เราจะก้าวเดินไปข้างหน้า ได้อย่างแข็งแรงครับ
- 18
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
