29 พ.ย. 2023 เวลา 13:48 • หนังสือ

แฮร์รี่ พอตเตอร์ ฉบับหัวขบถ [โหมดเอาจริง]

เบลลาทริกซ์ [แบล็ค] เลสแสตงจ์
ผู้หญิงของโวลเดอร์มอร์
หนึ่งในคำถามที่ใหญ่โตที่สุดของจักรวาลแฮร์รี่ พอตเตอร์คือ เบลลาทริกซ์กับโวลเดอร์ไปมีนังเดลฟี่ตอนไหนวะ?
จักรวาลแฮร์รี่ พอตเตอร์มีเรื่องราวแห่งความรักมากมายให้เราได้เสพ ทั้งรักที่เกิดจากความใกล้ชิด รักแบบหมาเดือน 12 ที่สังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายสวยหล่อก็รักกันโลด ความรักแนวจินนี่ตกหลุมรักแฮร์รี่ (คนอื่นเขารักแรกพบ อีนี่รักตั้งแต่ยังไม่พบ) หรือแม้กระทั่งรักแบบควายๆ สักแต่ว่ารักอย่างแฮร์รี่รักซิเรียสหลังรู้จักกันไม่ถึงครึ่งชั่วโมง และยังมีควายน้อยอีกตัวที่งมงายรักทั้งๆ ที่คนที่ตัวเองรักแต่ละคนก็โคตร Toxic
เบลลาทริกซ์ เลสแตรงจ์ (นามสกุลเดิมคือแบล็ก) เป็นตัวละคนที่โดดเด่นในความทรงจำของผมตัวหนึ่ง เพราะผมไม่ได้ดูแฮร์รี่ พอตเตอร์ ภาค 5 เวอร์ชั่นภาพยนตร์พร้อมกับคนอื่น ผมจึงยังไม่ทันได้เห็นโฉมหน้าอันน่าประทับใจของนักแสดง ในหนังสือผมไม่เห็นอะไรในตัวเธอนอกจากผู้หญิงคนนี้เป็นนังหมาบ้าคนหนึ่ง ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะเวอร์ชั่นแปลไทยแปลได้ไม่น่าประทับนักโดยการแสดงภาพผู้หญิงที่ดูมืดมน กรามใหญ่ เปลือกตาหนา
นั่นเป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ผมรู้สึกโกรธคุณสุมาลี เพราะเมื่อผมอ่านเวอร์ชั่น UK ที่ห้องสมุดมหาวิทยาลัยผมพบว่ามันเป็นคนละโค้งกันเลย เพราะผู้หญิงคนนี้สวยมาก! เป็นเวอร์ชั่นผู้หญิงของซิเรียสแบล็กเลยก็ว่าได้ด้วยรูปร่างที่โดดเด่น สูง ผมดกดำและรูปหน้าสวยและดูแข็งแกร่ง ในเล่ม 4 อธิบายลักษณะของเธอว่า 'A woman with thick, shining dark, long eyelashes and heavily hooded eyes...'
เนื่องจากนี่คือเรื่องราวของแฮร์รี่ที่เล่าเรื่องตัวเองเหมือนไม่ใช่เรื่องตัวเองมันจึงมีบ้างที่เขารู้สึกอคติและเลี่ยงที่จะชื่นชมผู้หญิงที่ทำให้พ่อแม่ของเนวิลล์เป็นบ้า จึงอธิบายเลี่ยงว่าผู้หญิงแพขนตาที่ดกหนารอบกรอบดวงตาของเธอและดูเปล่งประกาย แทนที่จะพูดตรงๆ ว่าตาของเธอช่างมีเสน่ห์ เห็นแล้วแทบจะหลงรัก เพราะถ้าให้คิดภาพตามที่บรรยายคือดวงตานางเอกในการ์ตูนโชโจระดับตำนานอย่างคำสาปฟาโรห์ (ที่ไม่รู้ว่าขนตาแม่งจะหนาและวิ้งวั้บไปไหน)ไม่ใช่อีผู้หญิงเปลือกตาหนากรามใหญ่ที่อ่านเจอในเล่มแปลไทย
ชื่อ "เบลลาทริกซ์" แปลว่า "นักรบที่งดงาม" เหมาะสมกับเธอทีเดียวเลยตอนนี้ แต่ผมพึ่งสนใจเกี่ยวกับเธอบ้างก็เมื่อเห็นบทสัมภาษณ์ 2007 เมื่อ JK Rowling ได้ให้ข้อมูลที่น่าสน web chat ที่ทำให้ความรู้สึกตอนนั้นคือแบบว้าว!!
แต่งงานเพื่อประกาศจุดยืนทางการเมือง แต่เรื่องหัวใจเธอให้โวลดี้คนเดียว
และหลังจากนั้นก็ยังมีอีกคือหลายปีต่อมาโปรเจค "เด็กต้องสาป" ก็ถือกำเนิดขึ้น ในเรื่องราวนี้มีตัวละครใหม่ที่ชื่อว่า "เดลฟี่" โผล่มา โดยเธอเป็นลูกสาวของโวลเดอร์มอร์และเบลลาทริกซ์ ที่ทำให้ผมถึงกับผงะว่า "ไอ้หน้าปลาไหลนั่นกับเมียชาวบ้าน?" และบางครั้งผมคันคอมากเมื่อคุยกับฝรั่งบางคนที่ยืนกรานว่าแฮร์รี่ พอตเตอร์ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าหนังสือเด็กสำหรับเขา คืออยากถามจริงๆ ว่า "เด็กบ้านมึงอ่านนิทานที่มีเนื้อหาข่มขืน เล่นชู้ และการฆาตรกรรมเป็นเรื่องปกติเหรอ?"
แรกๆ ไอเดียนี้ไม่มีอะไรมากเพราะในช่วงเวลานั้น JK Rowling ทำให้ชัดเจนว่ามันใช่ภาคต่อของหนังสือแต่เป็น What if ปัญหาคือต่อมาเธอก็ถือว่ามันเป็น canon หรือพูดให้ชัดคือไม่ใช่จักรวาลอื่นแล้ว แต่เป็นส่วนขยายของเนื้อหาหลักทั้งนี้เพื่อเธอจะสามารถถ่ายทอดเจตจำนงค์ของเธอต่อตัวละคร ผลที่ตามมาคือหลายคนผิดหวังในตัวแฮร์รี่ในละครเวทีมาก
เพราะในละครเวทีแฮร์รี่ถูกลากมาอยู่ในมุมมองกลางที่ไม่สามารถแก้ตัวให้คนอ่านฟังได้ตลอดเวลาเหมือนในหนังสือที่เรารู้จัก แต่ตกที่นั่งเดียวกับตัวละครอื่น เวลาผิดมาก็เลยต้องว่ากันตามเนื้อผ้า ไม่ใช่จะเอาตัวรอดได้ด้วยการบรรยายให้คนอ่านเชื่อ และพูดตรงๆ ผมชอบแฮร์รี่ในเด็กต้องสาปมากกว่าเพราะเขาพยายามเป็นคนที่ดีขึ้น มีเหตุผลมากขึ้น และแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาด ไม่ใช่เอาแต่แก้ตัวแต่ไม่ยอมรับผิดหรือเปลี่ยนแปลงอะไรเหมือนหนังสือ 7 เล่มที่เรานั่งอ่านจนตาแฉะ
แต่ผมก็เข้าใจที่ JK Rowling เลือกจะทำแบบนี้ เพราะหลายปีที่ผ่านมาแฟนๆ สายมโนที่ชอบคิดว่าตัวเองรู้ดีกว่าคนเขียนมีเยอะเกินไปจริงๆ แถมโกรธคนเขียนด้วยเวลาอธิบายตัวละครโปรดไม่ตรงกับที่มโน แม้ว่าผู้เขียนจะพูดอย่างจริงจังหลายครั้งว่า "แฮร์รี่ไม่ใช่นักบุญนะ เขาก็เห็นแก่ตัว หน้าซื่อใจคดและตอแหลเหมือนๆ กับเรา เพียงแต่เขาก็มีข้อดีมากมายและเขาพยายามเป็นคนที่ดีขึ้น" กล่าวคือ JK Rowling ยืนกรานที่จะให้ผู้อ่านรักแฮร์รี่ที่แท้จริง
แต่คนอ่านต้องการอุดมคติไม่ใช่ความจริง ดังนั้นเลยมีบ้างที่ JK Rowling ฟาดแรงๆ เช่นเมื่อมีคนแสดงความเห็นว่ามันไร้สาระแค่ไหนที่คนอย่างโวลเดอร์มอร์อยากมีเซ็กส์และมีลูก แล้วไง ป้าแกก็ตอบเกี่ยวกับสเนปที่คนคาดหวังความเหี้ยเช่นกันว่าเขามีจู๋เล็กๆ และนี่คือสิ่งที่ JK Rowling ให้คำตอบกับผู้อ่านอย่างมีนัยยะชัดเจนว่าโวลเดอร์มอร์ก็เงี่ยนเป็นเช่นกันกับเรา
"พอมดที่เป็นฆาตรกรและอยากเป็นอมตะไม่สามารถมีเรื่องส่วนตัวได้เหรอคะ?"
แน่นอนว่า JK Rowling ทำให้ชัดเจนว่ามันเป็นแค่ความเงี่ยน (เรื่องส่วนตัว) ไม่ใช่ว่าเขามีเซ็กส์กับเบลลาทริกซ์เพราะความเข้าใจผิดๆ ว่าคือรางวัลที่เหมาะสม ไม่งั้นมันจะกลายเป็นความสยดสยองในไม่ช้าว่า "นับแต่ดัมเบิลดอร์ได้ตายลงเซเวอรัส สเนปก็ได้รับรางวัลจากจอมมารโดยการแทงมิดด้ามทุกคืน" JK Rowling เป็นคนชัดเจนมากขนาดทำให้เคลียร์ว่าโวลเดอร์มอร์ไม่ใช่ผู้ข่มขืนของสเนป อย่างไรก็ดี คำตอบเหล่านั้นทำให้ผมต้องอ่านอย่างละเอียดขึ้น
และผมก็พบหลายสิ่งที่น่าสนใจ
อย่างแรก ในเล่ม 7 ผ่านสายตาของนาซิสซ่าที่มองเห็นชัดว่าเธอ 'unlike her in looks' คือเป็นพฤติกรรมที่ดูไม่เหมือนปกติของเธอเลยและ where Narcissa sat rigit and impassive, Bellatrix leaned toward Voldermort, for mere words could not demonstrate her longing for closeness.. อ่านแล้วสงสารโดโลฟัสเลยครับสำหรับการเล่นชู้ทั้งต่อหน้าและลับหลังแบบนี้ สำหรับผู้ชายคือโคตรหยาม! แถมอารมณ์นาซิสซ่านี่แบบ "เด้ากันเลยก็ได้นะ"
หลังจากนั้นผมก็พบว่ามีการชิงดีชิงเด่นกันในหมู่ผู้เสพความตาย 2 คน คือลูเซียสและเบลลาทริกซ์ โดย คนแรกนั้นถ้าสังเกตดีๆ จะรู้ว่าเขาร่วมมือกันกับใครซักคน ลูเซียสดูเหมือนจะรู้อยู่แล้วว่าสเนปเป็นฝ่ายไหนและเขาให้ความช่วยเหลือสเนปแบบเนียนๆ หลายครั้ง โดยเฉพาะ 2 ครั้งที่คนอ่านชอบลืมคือเขาช่วยชีวิตแฮร์รี่ที่สุสานโดยการเรียกร้องให้โวลเดอร์มอร์โม้ให้ฟังว่ารอดมาได้ยังไง และอีกครั้งที่กองปริศนาเขาทำให้เบลลาทริกซ์ที่กำลังจะฆ่าแฮร์รี่ต้องหยุด
และใช่ เมื่อโวลเดอร์มอร์แสดงความไว้วางใจ/ความโปรดปราณต่อผู้เสพความตายที่เขาชื่นชอบ 2 คน โดยการให้พวกเขาเก็บรักษาฮอร์ครักซ์ (แม้จะไม่บอกว่ามันคืออะไร) เราจะเห็นภักดีที่แท้จริง ลูเซียสพยายามกำจัดสมุดบันทึกอย่างต่อเนื่องและจบที่การยัดให้พวกวิสลี่ย์ ขณะที่เบลลาทริกซ์ดีใจมากและเอาไปเก็บในตู้นิรภัย แค่นี้ชัดมั้ยครับว่าอะไรเป็นอะไร ใครคิดว่าลูเซียสภักดีกับโวลเดอร์มอร์ก็คือโดนหลอกแล้ว
ลูเซียสเหยียบเรือสองแคมเพื่อเอาตัวรอดหลังจากที่เขารู้ว่าพลาดครั้งใหญ่ที่ไปรับใช้ปลาไหลเพราะเขาไม่รู้จักมักจี่อีกฝายมาก่อน (ถ้ารู้จักเป็นการส่วนตัวคงไม่เสียเวลาด้วย) เมื่อเราอ่านโดยไม่อยู่ใต้อำนาจของคำให้การแฮร์รี่จะเห็นว่าที่ลูเซียสไม่ชอบไอ้แก่สองดอร์นั้นไม่เกี่ยวกับการเป็นฝ่ายมืดหรืออดีตผู้เสพความตาย แต่เพราะหากไม่ศรัทธาในสองดอร์แบบหน้ามืดตามัวแล้วเชื่อเถอะว่าพ่อแม่ที่รักและห่วงอนาคตลูกจริงๆ คงไม่อยากไอ้แก่นี้เป็นอาจารย์ใหญ่
ดังนั้นลูเซียสแม่งอธิฐานทุกเมื่อเชื่อวันให้โวลเดอร์มอร์ไม่มีวันกลับมาเพราะเขา 'แอบ' ชอบโลกแบบที่มันเป็น เขาไม่เสียเวลาตามหาโวลเดอร์มอร์ที่หายไป ของสำคัญของเจ้านายที่ฝากให้เขาเก็บรักษาเขาก็ไม่เห็นค่า ผิดกับเบลลาทริกซ์ที่ออกตามหาเจ้านาย ยอมติดคุกเมื่อเจ้านาย ยอมพลีกายถวายชีวิต เธอไม่ห่วงสวัดิภาพของเดรโกเมื่อเขาถูกเลือกเพื่อลงโทษลูเซียส เธอฆ่าลูกพี่ลูกน้องของเธออย่างเลือดเย็น และเธอฆ่าหลานสาวตัวเองอย่างนิมฟาเดอร่า ท้องค์!!
กำลังจะเท้าความบอกผู้อ่านว่าโวลเดอร์มอร์เวลานั้นโปรดแค่เธอกับลูเซียส (แต่เธอไม่ใช่คนที่สร้างปัญหานะ)
เขาเรียกลูเซียสว่า "เพื่อนผู้ลื่นไหล" เห็นได้ชัดว่าเขากับลูเซียสมีความสัมพันธ์ที่มากกว่าเจ้านายกับลูกน้องทั่วไป โวลเดอร์มอร์ชอบลูเซียสเพราะเขาเป็นคนฉลาดและปรึกษาหารือกันได้ ลูเซียสเป็นคนที่มีสายตาแหลมคม เขาเป็นนักวางแผน อ่านคนเก่ง (เหตุผลที่เขารับสเนปมาอยู่ใต้ปีกเพราะเห็นว่าเด็กคนนี้ซื่อสัตย์จริงใจ) เหล่านี้มีประโยชน์มากกว่าเบลลาทริกซ์ที่วันๆ คิดแต่จะจับเจ้านายขึ้นเขียง
แต่แน่นอน หลังจากที่เขาพบว่าสเนปได้เติบโตจากเด็กขี้ขลาดที่หลบอยู่หลังลูเซียสมาเป็นสายลับที่มีประโยชน์ เบลลาทริกซ์ที่จากคำให้การของซิเรียสในเล่ม 4 ที่ดูเหมือนจะเป็นพี่สาวคนโตของพวกเด็กๆ ก็เริ่มแสดงความเกลียดชังสเนปอย่างออกนอกหน้า สิ่งที่เธอพูดกับสเนปในเล่ม 6 ตอน สุดตรอกช่างปั่นฝ้าย เล่นซ้ำกับสิ่งที่ซิเรียสพูดในเล่ม 5 เมื่อซิเรียสเรียกสเนปว่าเป็นหมาน้อยบนตักของลูเซียส เบลลาทริกซ์ก็บอกว่าสเนปเป็นสัตว์เลี้ยงของดัมเบิลดอร์
เพียงแต่สำหรับเบลลาทริกซ์นี่เป็นการแสดงความหึงหวงอย่างเห็นได้ชัด--ไม่ใช่แค่อิจฉาธรรมดา ขณะที่นัยย์ของซิเรียสคือ "โสเภณีของลูเซียสคู่ควรที่จะได้รับความเคารพในฐานะครูที่โรงเรียนด้วยเหรอ?" นัยย์ของเบลลาทริกซ์คือ "สเนปกางขาให้ดัมเบิลดอร์เพื่อเอาตัวรอด และกำลังจะกางขาให้โวลเดอร์มอร์ด้วย" เด็ดสุดคือสเนปก็ไม่ปฏิเสธซักนิด แต่กลับสาดเกลือใส่แผลด้วยการบอกว่า "ก็ไม่เชิง"
งานนี้ทำเอาผมผงะ ไม่รู้ว่าสเนปไม่เข้าใจความหมายจริงๆ หรือเข้าใจแต่แค่อยากจะเอาให้สะใจแบบ "ได้ แกคิดว่าฉันเป็นอีตัว ฉันก็จะให้พวกแกคิดว่าฉันควบทั้งลูเซียส ดัมเบิลดอร์ และโวลเดอร์มอร์ อกแตกตายรึยัง? หึๆๆๆ"
ภาคอาร์ตบุ๊คดูสวนทางกับสิ่งที่ซิเรียสและเบลลาทริกซ์พูดมากเกินไปรึเปล่าวะ?
ที่แน่ๆ การพูดเป็นนัยย์ๆ แบบนี้ทำให้ผมต้องทบทวนอีกนิดว่าสเนปควรดูเป็นยังไง เพราะภาพวาดประกอบหนังสือไม่สามารถสอดคล้องไม่สอดคล้องกับบทสนทนาเหล่านี้ได้เลย แต่ก็ทำให้คิดได้ว่าสำนักพิมพ์ก็ไม่ต้องการให้ผู้อ่านมองไปทางนั้นแม้ผู้เขียนจะเจตนาก็ตาม ก็นี่มันวรรณกรรมเยาวชนและกลุ่มเป้าหมายก็คือเด็ก แต่ถ้านี่เป็นหนังสือสำหรับผู้ใหญ่อาจจะต่างออกไป JK Rowling จงใจเลือกอลัน สเนปอาจจะดูเหมือนอลันวัยหนุ่มในเวอร์ชั่นที่ตัวเล็กบอบบางกว่า
แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ความหึงหวงของเธอต่อโวลเดอร์มอร์นั้นชัดเจน ลูเซียสคือคู่แข่งความโปรดปราณ (อารมณ์ระหว่างเพื่อนกับแฟนจอมมารจะเลือกใคร) ขณะที่สเนปเกือบจะเป็นผู้หญิงอีกคนสำหรับเธอ (แฟนใหม่ของจอมมาร) ดังนั้นมันต้องมีอะไรซักอย่างที่ทำให้การแข่งขันระหว่างเขาและเธอลดลง โวลเดอร์มอร์ย่อมรู้อยู่แล้วว่าเบลลาทริกซ์ต้องการสถานที่พิเศษ เขาไม่ได้รักเธอแต่เธอมีประโยชน์เพราะเธอภักดีจริงๆ
เบลลาทริกซ์เป็นแม่มดที่แข็งแกร่งมาก ถ้าไม่ใช่เพราะประมาทเกินไปคงไม่โดนมอลลี่สอยง่ายๆ เธอรักเขา เราไม่รู้ว่ามันเริ่มยังไง แต่พอจะเดาได้แหละว่าในสงครามครั้งแรกโวลเดอร์มอร์น่าจะเป็นหนุ่มใหญ่รูปหล่อ เขามีเสน่ห์มากถ้าเขาต้องการ และผมไม่คิดว่าเบลลาทริกซ์จะเป็นพวกชอบของแปลก มีความโรแมนติก, ปลาไหลหรือเอเลี่ยนเกรย์, หรือสัตว์เลื้อยคลาน ไม่สอดคล้องกับบริบทของสงครามครั้งแรกด้วย
คนเรามักมีอคติกับคนที่ดูน่าเกลียดน่ากลัว ถ้าเขาเป็นคนที่น่าเคารพขนาดนั้นมันจึงชัดว่าก่อนการสูญเสียอำนาจครั้งแรกโวลเดอร์มอร์ต้องหล่อแบบวัวตายควายล้ม และภายหลังเขากลับมา ดูน่าเกลียด แต่ไม่เป็นไร เบลลาทริกซ์ได้รักเขาไปแล้ว เป็นความรักที่ไม่เปลี่ยนแปลงด้วย ดังนั้นเธอจึงรับได้ไม่ว่าเขาจะดูเป็นยังไง และ JK Rowling บอกว่าเบลลาทริกซ์แต่งงานเพื่อแสดงออกถึงอุดมคติ จึงชัดเจนว่าเธอแต่งงานเพื่อให้เขารับเธอเข้ากลุ่มนนั่นเอง
ถ้าเช่นนั้นก็แปลว่าสองสามีภรรยาเลสแตรงจ์ก็เช่นกันกับสองสามีภรรยามัลฟอย พวกเขาไม่ได้แต่งงานเพราะความรักแต่เพื่อแสดงออกถึงอุดมการณ์ เราถึงสันนิฐานได้ว่าสามีของเธอก็คงเหมือนกันและเขารู้ว่าเธอไม่ได้ต้องการเขา นั่นจึงเป็นคำอธิบายที่ดีสำหรับการที่เขาสามารถปล่อยให้เมียเล่นชู้ทั้งต่อหน้าและลับหลังได้เพราะพวกเขาเป็นผัวเมียกันแค่ในเอกสาร
คราวนี้จะมาสู่คำถามสุดท้าย อีหญิงบ้าชายชั่วนี่ไปได้กันตอนไหน? เพราะไหนๆ ป้า JK Rowling ก็เซ็ตมาละ ผมมองพฤติกรรมของนางในตอนสุดตรอกช่างปั่นฝ้ายและได้ข้อสรุปว่าดูท่าทางนางไม่ใด้มาหาสเนปแบบสนมAมาเยี่ยมสนมB ไม่ใช่แค่ผู้หญิงที่กะมาตบผู้หญิงอีกคนเพื่อแย่งkวยทองคำ แต่อารมณ์เหมือนเมียหลวงมาฉะเมียน้อยว่าหล่อนต้องรู้จักที่ของหล่อนนะยะอะไรแบบนั้น แปลว่าเธอต้องอยู่ในสถานะที่คิดว่าตัวเองเป็นเมียหลวงแล้ว
ผมจึงได้ขอสรุปว่าหลังจากศึกที่กองปริศนา โวลเดอร์มอร์ที่พึ่งล่าถอยมาอาจจะหงุดหงิด และความหงุดหงิดก็ต้องมีที่ระบาย ว่าแล้วก็คว้าเบลลาทริกซ์โดยคิดว่าจะคลายเคลียด (หารู้ไม่ว่าเบลลาทริกซ์รอเวลานี้มาชั่วชีวิต) จากนั้นก็ปึ๊บปั๊บ 2-3 คืน หลังจากนั้นไม่กี่เดือนเบลลาทริกซ์ก็ท้อง... ซึ่งแบบนี้ก็จะทำให้เธอคลอดราวๆ เดือนเมษายนโดยประมาณ ดังนั้นเดือนพฤษภาคมที่ดัมเบิลดอร์ตายเธอจึงท้องยุบแล้ว
พูดง่ายๆ เล่ม 6 ตอนสุดตรอกช่างปั่นฝ้ายเธอน่าจะท้องได้ราว 2 เดือนแล้ว
โฆษณา