30 พ.ย. 2023 เวลา 03:19 • ปรัชญา

ห้องดับจิต..หลอน..

อาชีพที่ต้องเกี่ยวข้องกับคนตายนั้น มีอยู่ 4 อาชีพ คือหมอ, ตำรวจ ,สัปเหร่อ ,พระ แต่วิญญาณนั้น มักจะชื่นชอบกับอาชีพตำรวจมากเป็นพิเศษ ประมาณว่า ถ้าเขา ( หมายถึงวิญญาณ ) ยังมีสิ่งที่ยังค้างคาใจอยู่ มีสิ่งที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมอยู่นั้น เขาก็จะขอความช่วยเหลือมาที่ตำรวจ เพราะว่า หมอ, พระ, สัปเหร่อนั้น ไม่สามารถจะช่วยเหลือเขาได้ ซึ่งความคิดแบบนี้ เป็นสามัญสำนึกของคนทั่วไป ซึ่งวิญญาณเขาก็ยังติดยึดกับสามัญสำนึกของตัวเองอยู่ เพราะว่าวิญญาณนั้น ร้อยทั้งร้อย “ไม่รู้ตัวเอง” ว่าตัวเองได้ตายไปแล้ว
สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ วิญญาณจะพยายามสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่เสมอ แต่ปัญหาคือ เจ้าหน้าที่ตำรวจพวกนั้น “ไม่มีเซนส์ด้านวิญญาณ” เลย ก็เลยไม่รับรู้ถึงการที่วิญญาณพยายามติดต่อด้วย แต่บังเอิญว่าผมมี ( มั้ง! ) ผมก็เลยมีประสบการณ์แปลกๆมาเล่าให้ฟังไงครับ
ประสบการณ์ครั้งแรกนั้น ก็ต้องขอย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีก่อน คือราวๆปี พ.ศ.2538 สมัยผมยังเป็นร้อยตำรวจตรี ตอนที่จบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจมา ผมได้ไปประจำอยู่ที่ สถานีตำรวจภูธรอำเมืองอุทัยธานี ซึ่งจังหวัดอุทัยธานีสมัยนั้น ขนาดเป็นอำเภอเมืองแท้ๆ แต่ก็ยังไม่มีความเจริญเลย 19.00 น.นี่ก็ปิดบ้านนอนกันหมดแล้ว เซเว่นอีเลฟเว่นก็ยังไม่มี
สิ่งที่ต้องเจอก็คือ “ไม่มีมูลนิธิใดๆช่วยเจ้าหน้าที่ตำรวจเลย” ( หมายถึงพวกมูลนิธิปอเต็กตึ้ง ร่วมกตัญญู ฯลฯ ) แต่พวกเมืองเจริญแล้ว อย่างอำเภอเมืองนครสวรรค์ เขาจะมีมูลนิธิ คอยฟังวิทยุตำรวจตลอดเวลา พอได้รับแจ้งข่าวว่ามีอุบัติเหตุ มีคนเจ็บ มีคนตาย เขาจะมีรีบไปที่เกิดเหตุ แล้วดำเนินการเบื้องต้นให้ตำรวจเลย เช่นเอาคนเจ็บ คนตาย ไปส่งโรงพยาบาล แต่ที่เมืองอุทัยธานีนั้น มันไม่มีมูลนิธิแบบที่ว่านี้อยู่เลย ร้อยตำรวจเวรต้องทำด้วยตัวเองทุกอย่าง ต้องเก็บศพขึ้นรถร้อยเวรเอง แล้วขับไปส่งโรงพยาลด้วยตัวเอง
เฉลี่ยแล้ว ผมประจำอยู่ที่โรงพักที่จังหวัดนี้ 4 ปี ผมต้องสัมผัสกับศพด้วยมือตัวเองประมาณ 200 กว่าศพเห็นจะได้ คือถ้าเป็นเมืองเจริญแล้วอย่างอำเภอเมืองนครสวรรค์ ร้อยเวรแทบไม่ต้องสัมผัสกับศพเลย เพราะจะมีเจ้าหน้าที่มูลนิธิช่วยทำให้หมด
จากการที่เราต้องทำงานกับศพมา 200 ศพ ทำให้เกิดคาวมเคยชิน คือทำให้เราไม่กลัวผี กลัวศพ ในขณะที่คนอื่นที่ไม่เคยเห็นศพมาเลยทั้งชีวิต พอเห็นเข้าครั้งเดียวหรือสองครั้ง ก็ภาพติดตา นอนไม่หลับ “หลอนไปเอง” ว่ามีวิญญาณมาหา แต่สำหร้บผมนั้น ไม่มีคำว่า “หลอนไปเอง” เพราะผมไม่มีความกลัวผีแล้ว เนื่องจากได้สัมผัสกับศพมามากก่วา 200 ศพนั่นเอง ก็เลยมีความเคยชิน
จุดที่ผมเล่ามานี้ ผมจะสื่อว่า เวลาที่ “ผีหลอก” ตัวผมนั้น ผมจะเห็นจริงๆ ไม่ได้คิดไปเอง เพราะผมชินกับศพแล้วนั่นเอง ไม่ใช่ “หลอนไปเอง” ดังนั้น ผมจึงมีสติสมบูรณ์ แยกแยะออกว่านี่คือวิญญาณ นี่คือศพคนตาย
เอาล่ะ ถึงเวลาที่จะเล่าประสบการณ์ครั้งแรกที่เจอผีให้ฟังแล้วครับ
ตอนนั้น เป้นเวลาประมาณตีสอง ตอนที่ผมเข้าเวรอยู่ที่โรงพัก ก็มีโทรศัพท์จากโรงพยาบาลอุทัย โทรเข้ามาบอกให้ผมช่วยไปชันสูตรพลิกศพที่โรงพยาบาลด้วย เนื่องจากญาติจะรีบรับศพไปทำพิธี
คือตามกฎหมายนั้น การที่จะออกใบมรณบัตรได้นั้น จะต้องมีการชันสูตรศพโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจร่วมกับแพทย์ก่อน ถึงจะทำเอกสารขอออกใบมรณบัตรได้ ซึ่งในทางปฏิบัติ ก็จะมีแค่ตำรวจนี่แหละที่ต้องไปพิมพ์มือศพเพียงคนเดียว ส่วนนายแพทย์นั้น เขาจะมีมาเซ็นในเอกสารให้ในภายหลังว่าได้ร่วมชันสูตรด้วยแล้ว ( คือในทางปฏิบัตินั้น คุณหมอไม่ได้มาร่วมชันสูตรด้วย พยาบาลแค่รวบรวมเอกสารไว้ แล้วรอวันที่คุณหมอคนนี้ มาเข้าเวรอีกครั้ง แล้วถึงจะเอามาให้คุณหมอท่านนี้ เซ็นอีกที )
เมื่อไปถึงที่โรงพยาบาล ทางญาติคนตายก็ขอโทษที่ต้องรบกวนเราตอนดึก เหตุผลก็คือ คนไข้เสียชีวิตที่โรงพยาบาลอุทัยธานีนี้ ตอน 20.00 น.และบ้านพวกเขก็อยู่ต่างอำเภอ ซึ่งไกลมาก อีกทั้งกว่าเขาจะหารถกระบะมารับศพนี้ได้ ก็ดึกมากแล้ว และที่ไม่สามารถรอให้ถึงตอนเช้าได้ก็เพราะเจ้าของรถกระบะนั้น ต้องใช้รถไปทำธุระอื่นตั้งแต่เช้า ก็เลยจำเป็นต้องมารับศพตอน 02.00 น.นี้ ( ในกรณีนี้ ถ้าเป็นสมัยนี้ เขาจะมีรถของมูลนิธิบริการขนศพไปส่งบ้านให้เลย แต่ที่จังหวัดอุทัยธานีในสมัยนั้น ต้องหารถมาขนศพเอง )
ปัญหาอันต่อมาก็คือ ตอนนั้น โรงพยาบาลอุทัยธานี กำลังจะสร้างตึกใหม่อยู่ และเขามีความจำเป็นต้องทำ “ห้องเก็บศพชั่วคราว” ไว้ที่กลางทุ่งด้านหลังโรงพยาบาล คือไม่มีห้องเก็บศพอยู่ในตัวโรงพยาบาล คือ “ห้องเก็บศพชั่วคราว” ที่ว่านี้ จะอยู่กลางทุ่งที่อยู่ด้านหลังโรงพยาบาล ไปประมาณ 50 เมตร คือทางเดินไป ถึงจะมืด แต่เขาก็ติดไฟห้อยไว้ให้เห็นทางเดิน แม้ว่าจะไม่สว่างมาก แต่ก็พอมองเห็น
ผมกับญาติคนตาย เดินไปที่ห้องเก็บศพชั่วคราวดังกล่าว ”แค่สองคน” คือตัวผมเองหนึ่งคน และญาติคนตายอีกหนึ่งคน ส่วนญาติคนอื่นๆก็รออยู่ที่ตัวโรงพยาบาลอุทัยธานี
ซึ่งสองข้างทางที่เดินไปห้องเก็บศพชั่วคราวเป็นทุ่งหญ้ากว้างๆ มีทางเดินแคบ ๆ ที่ทำแบบลวกๆ มีแสงไฟสลัว ๆ จากข้างทาง เพราะมันเป็นพื้นที่ของโรงพยาบาล ไม่ใช่พื้นที่ของหลวง จึงไม่มีไฟจากเสาไฟฟ้าเหมือนที่อยู่ข้างถนนในตัวเมืองแต่อย่างใด ( ณ.ตอนนี้ จำความรู้สึกได้เลยว่า หลอนมา..ก..ก ตอนที่กำลังเดินไปที่ห้องดับจิต ที่อยู่กลางทุ่งนั้น )
พอมาถึงห้องดับจิต ก็เอากุญแจที่ได้จากนางพยาบาลมา ทำการเปิดเข้าไปในห้องดับจิตนั้น
ภายในห้องดับจิต เขาทำเป็นห้องไม้แบบไม่ค่อยแน่นหนาเท่าไร ไม่ทันสังเกตุว่ามีหน้าต่างหรือเปล่า? โดยมีไฟนีออนอยู่ 2-3 ดวง อยู่ในห้องนั้น ก็มองเห็นได้ชัดเจนดี
บรรยากาศในห้องนั้น คือ เขาจะเอาศพวางไว้บนรถเข็น เอาผ้าคลุมไว้ แล้ววางไว้ในห้องอย่างนั้นเลย ( คือไม่มีตู้เย็นแช่ แบบที่เราเคยเห็นในหนังผี ฯลฯ ) คือพอเข้าไป ก็เห็นศพที่คลุมผ้านอนบนรถเข็นประมาณ 7 – 8 ศพได้ ผมก็บอกกับญาติคนตายว่าให้เปิดผ้าคลุมเพื่อดูใบหน้าศพทีละศพ จนกว่าจะเจอญาติที่ต้องารให้ผมทำการชันสูตร
โดยการเปิดผ้าคลุมเพื่อดูหน้าศพนั้น ญาติของคนตายคนนั้น “เขาเดินอยู่ด้านหน้าผม” คือด้านหลังของผมก็ไม่มีใคร เพราะเราเข้ามาในห้องดับจิตนี้แค่สองคน
ผมกับญาติคนตายคนนั้น ช่วยกันเปิดผ้าคลุมศพทีละเตียง ( คุณผู้อ่านยังจำได้นะครับว่า ญาติคนตายเขาเดินอยู่ด้านหน้าผม ) และจุด Peak ก็อยู่ตรงนี้ครับ คือศพที่ผมเปิดดูหน้าอยู่นั้น มีศพหนึ่งที่อยู่ติดผนังด้านซ้าย ( ดูตามภาพข้างบนนี้นะครับ จะได้เข้าใจ ) พอผมเปิดผ้าคลุมออก ก็เห็นว่าศพนั้น “หันหน้าเข้าผนัง”
ปรากฏว่าญาติคนตายที่เดินอยู่ด้านหน้าผม ได้ตะโกนออกมาจากด้านในสุดของห้องดับจิตนั้นว่าเจอศพญาติเขาแล้ว จากนั้น ผมก็เลยเดินเข้าไปด้านใน เพื่อพิมพ์มือศพตามขั้นตอนการชันสูตรตามกฎหมาย ซึ่งการชันสูตรศพนั้น ต้องมีการพิมพ์ลายพิมพ์นิ้วมือศพบนเอกสารของตำรวจ แล้วถึงจะนำไปประกอบเอกสารเพื่อออกใบมรณบัตรได้ ดังนั้น จึงไม่สามารถนั่งเซ็นเอกสารบนโต๊ะอย่างเดียวได้ มันจำเป็นจะต้องออกภาคสนาม คือต้องมีการพิมพ์ลายนิ้วมือศพจริง ๆ
( แต่อย่างที่บอก ถ้าเป็นเมืองที่เจริญแล้ว จะมีเจ้าหน้าที่มูลนิธิ เขาพิมพ์มือศพให้เราเลย เราแค่นั่งเซ็นเอกสารอยู่ที่โต๊ะอย่างเดียว แต่ในกรณีของผม ผมต้องถ่อมาทำหน้าที่นี้ด้วยตัวเองตอน 02.00 น. นี่แหละ )
หลังจากพิมพ์มือศพเสร็จแล้ว ก็เป็นอันว่าเสร็จภารกิจแล้ว ผมก็บอกญาติคนตายนั้นว่า ให้เดินออกไปจากห้องดับจิตนี้ได้แล้ว เพราะทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยตอนเดินออก ผมให้ญาติคนตายเดินนำหน้าออกไปอีกครั้ง และผมเดินตามหลัง
และแล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อตอนที่ผมกำลังเดินตามญาติคนตาย เพื่อออกจากห้องดับจิตนั้น สายตาผมก็มองไปดูที่ศพที่วางเตียงชิดกับผนัง ซึ่งเป็นศพที่ผมพูดให้ฟังในตอนแรกว่า ศพนั้น “หันหน้าเข้าผนัง” แต่ว่า ณ.ตอนนี้ ศพนั้น “หันหน้ามาอีกด้านหนึ่ง” คือหันหน้ามาตรงทางเดินที่ผมกับญาติคนตายกำลังเดินออกมา
พูดง่ายๆคือ ศพนั้น หมุนคอตัวเอง จากการที่มองไปด้านหนึ่ง ( คือมองไปที่ผนัง ) แล้วหันมามองอีกด้านหนึ่ง ( คือหันมามองตรงที่ผมและญาติผู้ตายกำลังเดินออกจากห้องดับจิตนั่นเอง )
ผมขนลุกซู่เลย แต่ไม่พูด ไม่เล่าอะไรให้ใครฟัง และไม่แสดงท่าทีตกใจให้ญาติคนตายเห็น แต่ในใจคิดแล้วว่า เอาล่ะ นี่คือ “ผีหลอก” ที่เขาพูดๆกันสินะ
สรุปการหลอกนี้คือ หลังจากที่ผมเปิดผ้าคลุมศพ โดยที่ไม่ไปแตะต้องตัวศพนั้น อยู่ๆศพก็สามารถหันคอกลับมาดูตอนที่ผมกำลังเดินออกจากห้องดับจิตได้เอง โดยที่ผมไม่ได้ไปสัมผัสตัวศพเลย ( คือสัมผัสแต่ผ้าคลุม ) นั่นก็หมายความว่า มันไม่มีการไปสัมผัสกับศพนั้น จนเป็นเหตุให้ศพนั้น “เส้นกระตุก” แล้วหันคอมาทางที่ผมเดินอยู่ได้เอง ก็คือศพนั้นเขาแสดงอภินิหาร การหมุนคอ จากที่ตอนแรกมองไปทางหนึ่ง แล้วตอนหลังก็มองมาตรงที่ผมกำลังเดินอยู่นั่นเอง สยอง..สุด ๆ
นี่นับเป็นครั้งแรกที่ผมเจอเหตุการณ์ผีหลอกแบบเต็มๆ โดยที่ผมไม่ได้หลอนไปเอง ( เพราะอย่างที่บอก ผมเคยชินกับการเห็นศพมามากแล้ว ไม่ได้กลัว หรือคิดเอาเองแต่อย่างใด ดังนั้น ในสถานการณ์นี้ มันคือความผิดปกติ ( คือผีมาหลอก ) ที่เห็นด้วยตาเนื้อนั่นเอง ไม่ได้กำลังนอนฝัน หรือเมาเหล้าอะไรเลย ( ผมเป็นคนไม่ทานเหล้า )
คือตอนนั้น ผมมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนดี ไม่ได้ง่วง ไม่ได้ตาพร่าหรืออะไรทั้งสิ้น คือถ้าคนเรามีความกลัวอยู่ก่อน บางทีเราก็อาจ “หลอนไปเอง” ว่าศพนั้น แสดงอภินิหารให้เราเห็น แต่นี่ผมไม่ได้มีความกลัวศพมาก่อน ผมมีสติสัมปชัญญะที่อยู่ครบถ้วนดี แล้วผมก็เจอประสบการณ์นี้ )
สรุปอีกครั้งว่า ศพที่ผมเข้าไปพิมพ์มือนั้น ไม่ได้แสดงอภินิหารอะไร แต่กลายเป็นว่า ศพที่แสดงอภินิหาร กลับกลายเป็นอีกศพหนึ่ง ที่ไม่เกี่ยวกับภารกิจการพิมพ์มือศพนี้เลย เพียงแค่เป็นศพที่วางอยู่ติดผนัง ตรงทางเดินที่ผมจะต้องเดินผ่านเท่านั้น ( ถ้ายังมีชีวิตอยู่ ก็จะหมายถึงพวกที่สงสัยว่า ตำรวจนี้ เขามาทำอะไรในห้องดับจิตนี้ แล้วก็เลยแสดงอาการสนใจผม – คือหันคอมามองผม )
หลังจากเหตุการณ์นี้ ผมก็พยายามลืมเหตุการณ์นี้ไป และไม่ได้เล่าให้ใครฟังเลย คือถ้าผมเก็บมาคิด ผมก็จะไม่กล้าทำงานกับศพอื่น ๆ อีก มันจำเป็นที่ผมจะต้องพยายามลืมมันไป ก็ต้องถือว่า “มันเป็นส่วนหนึ่งของงาน” คืองานตำรวจของผม ก็ต้องโดนผีหลอกบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เรื่องแปลก และเขาก็ไม่ได้มาทำร้ายอะไรผม ก็แค่แสดงอภินิหารให้ดูเท่านั้น
ผมประจำอยู่ที่จังหวัดอุทัยธานีเป็นเวลา 4 ปีแล้วผมก็ย้ายมาอยู่ที่จังหวัดนครปฐม
ในระหว่างอยู่ที่จังหวัดอุทัยธานี 4 ปีนั้น ก็ยังมีเหตุการณ์แปลกๆ อื่นๆอีกประปราย เช่นอยู่ ๆ ตอนตี 2 ตี 3 ( ซึ่งผมเข้าเวรรอบดึกอยู่ที่โรงพัก ) ซากรถจากรถคว่ำ ซากรถที่ประสบอุบัติเหตุจนผู้ขับเสียชีวิต ที่วางอยู่ 4 -5 คันด้านหน้าโรงพัก อยู่ๆมันก็มีเสียงแตรดังขึ้นมาเอง มีไฟหน้ากระพริบขึ้นมาเอง จนต้องเดินออกจากห้องร้อยเวร มาดูที่บริเวณดังกล่าว
แต่เอาล่ะ มันก็ยังตีความได้ว่า เป็นการลัดวงจรของระบบไฟในตัวรถนั่นเอง อาจจะไม่ใช่เรื่องผีหลอกอะไรก็ได้ ( พวกตำรวจชอบเอาซากรถที่เกิดอุบัติเหตุมาวางไว้ในบริเวณโรงพัก เพราะถ้าเอาไปไว้ไกลๆ โรงพัก มันก็จะมีพวก “ขโมย” ชิ้นส่วนรถมาเอาไป แล้วถ้าญาติของคนตาย มาขอรับรถคืน แล้วปรากฏว่าชิ้นส่วนของรถหาย ตัวร้อยตำรวจเวรเจ้าของคดีก็ต้องรับผิดชอบทางแพ่ง นี่ก็เลยเป็นสาเหตุให้ตำรวจชอบเก็บซากรถไว้ในบริเวณโรงพัก ) แล้วไอ้พวกวิญญาณที่ผูกพันกับรถนั้น เขาก็มาเยี่ยมเยียนซากรถที่ตัวเองรัก แล้วก็เลยมีเหตุการณ์แปลกๆแบบนี้
แต่เรื่องเสียงแตรดัง เรื่องไฟรถกระพริบเองตอนตี 2 ตี 3 นี้ มันยังไม่ชัดเจนเหมือนเหตุการณ์ในห้องดับจิต ที่ผมเล่าให้ฟังตอนข้างต้น มันคงจะเป็นความผิดปกติของระบบไฟนั่นแหละ
ผมยังมีประสบการณ์เกี่ยวกับวิญญาณอีกนะครับ เพียงแต่ว่าไม่สามารถเล่าให้จบในบทความนี้ได้ เพราะมันจะยาวมาก แต่ว่าเฉพาะตอนที่อยู่ที่จังหวัดอุทัยธานี 4 ปีนี้ ก็จะมีเท่านี้แหละครับ ครั้งหน้าจะเป็นประสบการณ์ที่เจอกับตัวเอง เรื่องวิญญาณที่มาร้องทุกข์ว่าถูกคนร้ายฆ่าตาย และวิญญาณยังช่วยจนกระทั่งจบคนร้ายได้ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร รอติดตามนะครับ
โฆษณา