Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Travel Heart
•
ติดตาม
10 พ.ค. เวลา 05:13 • ท่องเที่ยว
ดอยเสมอดาว น่าน
เหรียญวิ่ง 5 kg. ครั้งแรก
การเดินทางเริ่มต้นขึ้นจากความตั้งใจอยากเก็บเหรียญ MCOT
การวิ่งสนามแรกของเราคือ 3 kg. ณ สวนสัตว์เปิดเขาเขียวเมื่อ 5 พฤศจิกายน 2566 กับเพื่อนร่วมกิจกรรมอีก 3 คน เหรียญแรกของชีวิตจึงได้มาแบบเหนื่อยขำๆ เพราะระยะวิ่ง 3 kg. น่าจะเป็นของเด็กๆ มากกว่าผู้ใหญ่อย่างเรา
การวิ่งแค่ 3 กิโล เราทำได้อย่างที่ตั้งใจไว้แต่ก็ทำให้เรารู้ว่าการซ้อมสำหรับ 5 กิโล ต้องจริงจังจะเล่นๆ เหมือน 3 กิโลคงไม่ได้ แต่ด้วยเวลาแค่ 2 อาทิตย์สำหรับคนทำงาน 6 วัน เราจึงซ้อม 5 กิโล ได้จริงแค่ 2 ครั้ง ก่อนวันจริง (ข้ออ้างที่ดีของคนทำงาน)
เสื้อผ้าถูกเตรียมในคืนวันศุกร์เพื่อเดินทางไปน่านตอนบ่ายของวันถัดไป โดยขอออกเลิกงานก่อน นั่นคือเที่ยง จากเวลาบนตั๋วที่ได้จากการ Check in ผ่านมือถือทำให้พวกเราต้องรีบร้อนหาที่จอดรถ น้อง รปภ. บอกว่าเต็มและคันก่อนหน้าถูกปฏิเสธ แต่พวกเรายังดื้อและขอเข้าไปวนหาที่จอดเพื่อจะไปขึ้นเครื่องให้ทันโดยการแจ้งกับน้อง รปภ และเขาจึงยอมให้พวกเราเข้าไปวนหาได้ ขอบคุณอีกครั้งเพราะนั่นคือสิ่งที่ทำให้เราได้ที่จอดในเวลาอันรวดเร็ว
หลังจากรีบร้อนจนผ่านขั้นตอนทุกอย่าง สิ่งที่ทำให้พวกเราเซ็ง คือ เครื่อง Delay เรียกว่าพวกเราเริ่มต้นการเดินทางก็ผิดแผนซะแล้ว พวกเราตั้งใจเผื่อเวลาหาข้าวกลางวันกินที่สนามบิน เพราะเคยใช้บริการ Magic Food Park ฟู้ดคอร์ทสนามบินดอนเมือง ที่อยู่ชั้น 2 ของอาคารภายในประเทศใกล้กับ 7 Eleven แต่เมื่อพลาดขับผิดเส้นทางในสนามบินเลยทำให้ต้องวนรถและเสียเวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง เราเลยเลือกกินขนมปังที่ซื้อติดมือมา และเพื่อนร่วมทางต้องหาอย่างอื่นกินแทน
นั่งกินกลางวันกันที่บริเวณ Gate และเข้าห้องน้ำเรียบร้อย เจ้าหน้าที่สายการบินจึงเปิด Gate และประกาศให้ขึ้นเครื่องได้ ถึงแม้จะ Delay แต่กัปตันก็สามารถนำเครื่องลงน่านนครได้ตรงเวลาพวกเราขอตบมือให้เลยค่ะ
รถเช่าพร้อม คนขับพร้อม คนโดยสารพร้อม แล้วจะรออะไรอีก การเดินทางเริ่มต้นขึ้นด้วยเป้าหมายแรก คือ รับเสื้อวิ่งก่อน 1 ทุ่ม พวกเราเปิดทริปด้วยการวนรอบสนามบิน พอถึงน่านเราเลยต้องวนรอบเมืองน่านอีกครั้ง เพราะความเข้าใจผิดของเราเอง พวเราไปผิดจุดนัดหมายเลยได้วนรอบสนามกีฬาจังหวัด ซึ่งทำให้อดวิจารณ์ไม่ได้ว่าในกรุงเทพไม่เห็นจะมีสนามกีฬาแบบนี้ให้ไปออกกำลังกายบ้างเลย สวัสดิการของคนกรุงกับคนต่างจังหวัดชั่งต่างกันจริงๆ อิจฉาคนต่างจังหวัดขึ้นมาทันที
จุดหมายที่ 2 ก็ต้องเช็คอินที่พัก หาที่พักเจอแบบหลงนิดๆ พอเป็นกระไสย เมื่อที่พักพร้อม เรื่องปากท้องก็ต้องมา ร้านเฮือนเจ้านาง จึงถูกเลือกเป็นร้านแรก สั่งอาหารด้วยความหิว ข้าว 1 โถ ตอนแรกที่กลัวจะกินไม่หมด กลับหายไปอย่างรวดเร็ว อาหารรสชาติถูกปากคนกรุงอย่างเรามาก โดยเรียงลำดับความอร่อยได้ดังนี้ ข้าวสวยอร่อยจนต้องถามสูตรหุงข้าว ไก่ทอดมะแขว่นอร่อยสมใจอยาก ออเดิร์ฟขันโตกมีความอร่อยที่หลากหลาย แกงส้มปลาคังเผ็ดซะจนต้องยอมแพ้ เลยได้หาข้ออ้างไปต่อที่ขนมหวานป้านิ่มเพื่อแก้เผ้ด
ร้านขนมหวานป้านิ่มจากเมื่อ 10 ปีก่อน เปลี่ยนไปเยอะเหมือนกัน แต่ความอร่อยยังคงเหมือนเดิม ไอติมกะทิที่กินกับข้าวฟ่างหรือจะข้าวเหนียวดำหรือจะเลือกกินกับลูกเดือยก็อร่อย หอม หวาน มัน เต็มอิ่มกับขนมหวานก็ต้องเดินย่อยซะหน่อย
พวกเราจึงจบทริปวันแรกด้วยการแวะเที่ยววัดภูมินทร์ วัดที่มีชื่อเสียงของจังหวัดน่านที่มีภาพกระซิบรัก และก่อนเราไปมีแผนที่ไหวทำให้เกิดรอยร้าวขึ้น ด้านข้างวัดมีตลาดนัดคนเดินให้เดินแวะซื้อทั้งของกินและของใช้มากมาย อากาศสบายๆ ทำให้เดินได้ทั้งตลาด และแวะถ่ายภาพโคมที่วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหารแล้วจึงกลับเข้าที่พักเพื่อเป้าหมายของวันพรุ่งนี้ วิ่ง 5 กิโล ดูเป็นเป้าที่ยิ่งใหญ่ที่ต้องทำให้ได้
นัดหมายเพื่อออกเดินทางคือ 5.00 น. แต่เราก็ late ไปเกือบ 10 นาที พอไปถึงสถานที่ปล่อยตัวก็ใกล้เวลาปล่อยตัวจนไม่ได้ warm up แค่ฝากของเสร็จก็เริ่มวิ่งเลย คาดหวังวิว 2 ข้างทางว่าต้องสวยสมตามคำบอกของเจ้าหน้าที่ที่เราโทรถามเรื่องเสื้อ สองข้างทางจะเห็นทุ่งนาสวยๆ แต่ความจริง คือ
ในช่วงแรกของการวิ่งฟ้ายังมืดทำให้มองอะไรไม่เห็น แต่อากาศเย็นๆ ช่วยให้การวิ่งง่ายขึ้น 2 การวิ่งเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ ไม่รีบและไม่ช้าพยายามตามเพื่อนร่วมทริปไปเรื่อยๆ เส้นทางคือถนนที่ยังคงมีรถแล่นผ่านได้ วิ่งไปคุยไปและตั้งใจถ่าย Clip จากกล้อง GoPro ไปด้วย แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะมืดเกินกว่าที่ GoPro จะถ่ายติด ระหว่างทางจะมีช่างภาพมาคอยเก็บภาพให้ จากประสบการณ์ครั้งแรกทำให้เรารู้ว่าควรวิ่งและมองกล้องเพื่อให้ได้ภาพที่ดี ที่เราจะได้เลือกซื้อได้ตามความต้องการ
เรากับเพื่อนวิ่งไปพร้อมกับน้องแต่งแฟนซีที่ทำให้เรามีกำลังใจขึ้นมาได้ในช่วงที่ต้องวิ่งขึ้นเนิน เพราะน้องเขาวิ่งได้ เราก็ต้องวิ่งได้ เมื่อขึ้นก็มีลง ตอนลงสร้างความเร็วได้แบบสุดๆ กำลังจะผ่านจุดกลับตัว เพื่อนบอกเริ่มจะไม่ไหว อ้าวเกิดอะไรขึ้น! คำตอบที่ได้คือ โปรตีนเวย์ที่เพื่อนกินก่อนวิ่งเริ่มสร้างปัญหา เพื่อนบอกลมตีมีอาการอยากอ้วก เดินคือหนทางเดียวที่จะทำให้อาการดีขึ้น ช่วงครึ่งหลังของเส้นทางจึงเป็นการเดินสลับวิ่งแทน แต่เมื่อจะผ่านกล้องเรากับเพื่อนจะวิ่งผ่านกล้องทุกครั้งเพื่อรูปถ่ายที่สวยงาม
เพื่อนไม่เคยไม่เคยทิ้งกันไม่ว่าความฝันนั้นจะไกลสักเท่าไหร่ และมาด้วยกันก็ต้องกลับเข้าเส้นชัยด้วยกัน เราจะทิ้งเพื่อนให้เดินคนเดียวได้อย่างไร อีก 100 เมตร กำลังจะถึงเส้นชัยเพื่อนเลยต้องฮึดสู้ สุดท้ายเราก็ยังสามารถทำเวลาได้ดีกว่าตอนที่ซ้อม ซึ่งบอกให้เรารู้ว่า การวิ่งคนเดียวกับมีเพื่อนวิ่งด้วยเวลาที่คุณได้รับจะแตกต่างกัน การมีเพื่อนร่วมทางช่วยสร้างสีสัน อารมณ์ มุมมอง และฆ่าเวลาได้ดีกว่าการหมกมุ่นกับการวิ่งคนเดียว สำหรับเราการซ้อมคนเดียวจึงทำให้ใช้เวลาวิ่งมากกว่า คนอื่นต้องลองถึงจะรู้
หลังจากเข้าเส้นขัย งาน Cool Down ก็ต้องมา จากนั้นก็ถึงเวลาของถุงที่เตรียมมาบ้างละ อาหารมีให้เลือกหลากหลาย สิ่งแรกที่มองหาคือ ข้าวเหนียวไก่กระเทียมเหมือนครั้งที่แล้วมีไหม? เดินจนทั่วรอบลานก็ไม่มี ความเสียดายเกิดขึ้น แต่แป๊บเดียวเท่านั้น เพราะความสนุกในการเลือกของกินเริ่มต้นใหม่อีกครั้งได้เสมอ
ข้าวต้ม หมี่ยำ ผัดไทยทั้งเส้นเล็ก วุ้นเส้น เลือกได้สบายๆ ขนมหวาน ต้องบอกเลยว่าอร่อยทุกอย่าง และยังมีขนมแปลกที่เพิ่งเคยกินครั้งแรก คือ ขนมแตงไทย ที่ไม่ใช่แตงไทยใส่น้ำกะทินะ หน้าตาของขนมจะเหมือนขนมกล้วยแต่ทำจากแตงไทย สำหรับเราถือว่าหอม อร่อย นอกจากนั้นยังมีซาลาเปา ขนมปังให้หยิบอีกด้วย
ของแจกก็มีมากมาย จากประสบการณ์ 3 กิโล สอนเราว่า กระเป๋าใส่ของสำคัญพอๆ กับการฝึกซ้อมวิ่ง เพราะสปอนเซอร์มีมากมายที่จะสนับสนุนให้ทุกคนสุขภาพดี ถ้วยรางวัลตั้งเรียงราย แต่เราก็ไม่สน เพราะตัวเราย่อมรู้จักตัวเราดีเสมอ เราวิ่งเพราะต้องการเก็บเหรียญ เข้าเส้นชัยได้ก็ดีใจแล้ว กลัวจะวิ่งไม่ไหวมากกว่า เรื่องของกินกับของแจกจึงเป็นสีสันให้กับเราอย่างมาก
เมื่ออิ่มท้องแล้วก็ได้เวลาท่องเที่ยวต่อ จุดหมายของเราคือ พระธาตุเขาน้อย
เส้นทางไม่ไกลจากจุดปล่อยตัว ขับขึ้นเขาย่อมๆ พริบตาเดียวก็ถึงจุดหมาย อากาศกำลังสบายๆ วิวด้านบนสามารถมองได้เห็นเมืองน่านทั้งเมืองเลย ถ่ายรูปเพลินๆ ไปเกือบ 2 ชั่วโมง และถ่ายเกือบทุกจุดทั้งท่ายืน ท่านั่ง รูปหมู่ รูปเดียว แบบมือถือเกือบเต็ม
หลังจากกินอิ่ม นอนหลับสักงีบ และแวะชิมข้าวซอยที่ร้านข้าวซอยต้นน้ำแล้วก็ได้เวลาออกเดินทางไปยังจุดหมายถัดไปคือ เสาดินนาน้อยก็เริ่มต้นขึ้น เราขับไปตามเส้นทางที่ Google Map บอกแวะเข้าห้องน้ำและกำลังจะขับขึ้นเขา เอ๊ะ!!! เส้นทางเริ่มชักจะแปลกๆ เป็นทางขึ้นเขาเรื่อยๆ ไม่น่าจะต้องขับขึ้นเขา และทางเริ่มเล็กลงแค่พอให้รถสวนกันได้ ข้างหน้าเป็นทางโค้ง กลับรถน่าจะอันตราย น้องในทริปจึงอาสาขอลงไปดูถ้าไม่มีรถตามมา จะใช้วิธีถอยหลังลงซึ่งก็ไม่ง่าย
ถอยหลังลงได้สักพักก็มีรถมอเตอร์ไซค์ขับขึ้นมา จึงได้มีโอกาสถาม พี่เขาจึงนำทางและบอกเส้นทางให้ พวกเราจึงกลับรถได้อย่างปลอดภัย น้ำใจคนไทยหาได้ง่ายเสมอ เราขับอีกไม่ไกลจากทางขึ้นดอยเสมอดาวก็ถึงจุดหมาย พี่เจ้าหน้าที่เต็มใจต้อนรับอย่างดีและขายของเก่งด้วย มะขามหวานที่พี่เขาขายอร่อยจริงสมคำโฆษณา เมื่อกลับถึงกรุงเทพฯถึงขนาดต้องสั่งเพิ่มอีก
อากาศเริ่มร้อน แต่ความสวยของธรรมชาติก็เรียกร้องให้พวกเราเก๊กท่าถ่ายรูปอยู่นานจนได้เวลาต้องกลับไปหาที่พักสำหรับคืนนี้ จากข้อมูลการจองที่พัก พวกเราเลือกที่พักบริเวณด้านล่างเชิงเขาเป็นกระโจมแบบมีห้องน้ำในตัว กับความหวังแบบลมๆแล้งๆ ที่จะได้เห็นทางช้างเผือกจากที่พักเลย และเพื่อที่จะได้มีคนพาขึ้นดอยเสมอดาวโดยพวกเราไม่ต้องขับรถขึ้นเขาเอง
ที่พักทั้งหมดเกือบ 15 หลัง คืนนี้มีเพียง 2 หลังที่จองมาเท่านั้นที่ถูกใช้งาน อาหารมื้อเย็นวันนี้คือ หมูกระทะ เมนูยอดฮิต ขึ้นดอยต้องได้กินหมูกระทะ 555 ใครเป็นผู้เริ่มจำไม่ได้ รู้อีกทีก็ทำตามกันไปทุกดอยแล้ว ใจแอบผิดหวังนิดๆ ที่ไม่เห็นทางช้างเผือก ทั้งๆ ที่รู้ว่าโอกาสมีน้อยอยู่แล้ว เพราะทางช้างเผือกจะขึ้นตอนประมาณ 6 โมงเย็น ฟ้ายังไม่มืด และก็เป็นวันขึ้น 8 ค่ำอีกต่างหาก เราจึงตัดสินใจเข้านอนดีกว่าเพราะพี่เจ้าของรีสอร์ตบอกว่า 4 ทุ่มจะปิดเครื่องปั่นไฟ
เข้าที่นอนเรียบร้อย พี่ในกลุ่มก็เรียกด้วยเสียงตื่นเต้นว่าฟ้าสวยมากเลย ภาพที่เห็นเมื่อออกจากกระโจมหลังปิดเครื่องปั่นไฟ ใช่ มันโคตรใช่ !!! ฟ้าสวยจริงๆ ดวงดาวเต็มท้องฟ้า มองไปมุมไหนก็เห็นดาวเต็มท้องฟ้าไปหมด ส่องแสงระยิบระยับงดงาม กล้องกับมือถือถูกหยิบขึ้นมาเก็บภาพไว้เป็นความทรงจำ แต่ภาพที่ถ่ายได้ไม่มีสักภาพที่สวยเหมือนตาเห็นเลยอะ น่าจะเป็นเพราะเราเองที่ไม่มีฝีมือ
กลางคืนอากาศเย็นลงเรื่อยๆ ดีนะที่เตรียมเสื้อกันหนาวกันมา พอได้เวลานัดหมาย นาฬิกาปลุก พวกเราตื่นล้างหน้าแปรงฟันด้วยไฟฉายกันเรียบร้อย พี่เขาก็ขับรถขึ้นมารับเราเพื่อเดินทางไปดอยเสมอดาวทันที ระหว่างทางพี่เขาบอกว่าไม่แน่ใจว่าวันนี้จะได้เห็นทะเลหมอกไหม เพราะบางวันก็ไม่ได้เห็นนะ ใจเริ่มกังวลขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ยังคาดหวัง ชีวิตต้องมีหวัง เส้นทางที่พวกเราไปเหมาะกับรถกระบะเท่านั้นจริงๆ เพราะพี่เขาพาเราผ่านไร่ข้าวโพด และไร่ต่างๆ ของชาวบ้าน จนมาหยุดให้พวกเราเพื่อชมความงามของทะเลหมอกแบบดีจริงๆ
ก่อนถึงจุดหมายพี่ในกลุ่มถามว่าเขาจะให้เวลาพวกเราตั้ง 3-4 ชั่วโมงเลยเหรอ เยอะไปไหม เอาเข้าจริง กว่าจะถ่ายตรงนี้ เดินไปถ่ายตรงโน้น เดี๋ยวนั่ง ยืน วิ่ง ถ่ายแบบสโลโมชั่นอีก มองนาฬิกาอีกทีก็ เกือบ 9 โมงแล้ว จากตี 5 ทำไมเวลาเดินเร็วจัง ถึงเวลาร่ำลาธรรมชาติกันซักทีมีโอกาสจะไปหาใหม่นะ
การเที่ยวดอยครั้งนี้เป็นอะไรที่ประทับใจมาก เพราะเป็นการเที่ยวแบบที่เรียกได้ว่ามีแต่กลุ่มพวกเราแค่ 4 คน กับวิวหลักล้าน จะยืน จะนั่ง จะทำอะไรก็มีกันแค่ 4 คน มันทั้งสนุกสนาน ทำให้ลืมเรื่องต่างๆ ที่อยู่ในหัวออกไปหมด มีแต่ตรงนั้นสวย ตรงนี้ก็สวย กลับลงที่พักอย่างสนุกสนานและเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ที่พักเตรียมอาหารเช้าไว้ต้อนรับด้วยข้าวต้มหมูแสนอร่อย อิ่มท้องเมื่อหมดหม้อ หลังจากอาบน้ำและเก็บสัมภาระเรียบร้อยก็ถึงเวลาที่จะเดินทางกลับเข้าเมืองน่านเพื่อกลับกรุงเทพฯ ขากลับพวกเราตัดสินใจชิมอาหารรสชาติพื้นเมืองที่ร้านอาหารสวนสะเนียน จากนั้นพวกเราแวะเที่ยววัดในตัวเมืองกันอีก 2 วัดแล้วจึงแวะทานมื้อเย็นที่น่านอีกมื้อ ระหว่างนั่งกินเย็นตาโฟ ที่เราขับผ่านไปผ่านมาหลายรอบ จนได้ชิมจนได้เพราะร้านที่เลือกดันปิดร้าน เจ้าของรถเช่าได้โทรเตือนเรื่องเวลาขึ้นเครื่อง ต้องขอบคุณมากเพราะเป็นบริการที่ดีจริงๆ
จบการเดินทางที่น่านกับเหรียญวิ่ง 5 กิโล เหรียญแรก ที่สนุกสนานตามเวลาและโอกาสอันสมควร เราหยุดเหรียญวิ่งไว้แค่นี้ก่อน สนามอื่นๆ ถ้ามีโอกาสจะขอสะสมใหม่อีกครั้งนะ แค่นี้ก็ประทับใจแล้วละ เพราะเรามีเป้าหมายและสิ่งที่อยากทำอีกมากมาย และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งใหม่ด้วยเช่นกัน ไว้เจอกันใหม่นะ
วิ่ง 4 คน และเวลาของ 4 คน
พระธาตุเขาน้อย แนวนอน
พระธาตุเขาน้อย แนวตั้ง
เสาดินนาน้อย
เสาดินนาน้อยอีกมุม
ยามเย็นจากที่พัก
ทะเลหมอกดอยเสมอดาว
เก็บไว้หลากหลายมุมมอง
ทะเลหมอก
ทั้งดอยเป็นของพวกเรา
ลานวิ่งเพื่อถ่ายแบบสโลโมชั่น
วัดศรีพันต้น
วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร
อาหารแต่ละร้านที่แสนอร่อย
หมูกระทะ
แมว-หมาที่ได้พบเจอระหว่างทางและยอมให้ถ่ายรูป
ขนมหวานที่กลับไปชิมอีกครั้งในรอบเกือบ 10 ปี
ที่พักคืนแรก
ที่พักคืนที่ 2
น.น่าน และ เย็นตาโฟ ก่อนกลับกรุงเทพฯ
สายการบินขาไป
สายการบินขากลับ
ท่องเที่ยว
นักชิม
นักเขียน
บันทึก
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย