12 ธ.ค. 2023 เวลา 03:50 • หุ้น & เศรษฐกิจ

นักวิเคราะห์ คาดเดือนธ.ค.นี้ ตลาดหุ้นไทยทะยาน 1,450 จุด รับแรงซื้อนักลงทุนสถาบันในประเทศ

วิเคราะห์หุ้นไทยเดือนธ.ค.มีโอกาสทะยาน 1,450 จุด หรือเพิ่มขึ้น 69 จุด เมื่อเทียบดัชนีปิดเมื่อวันที่ 8 ธ.ค.ที่ 1,380.99 จุด จับตา 2 แรงหนุนปัจจัยผลักดันสำคัญทั้ง การทำ Window Dressing จากนักลงทุนสถาบันในประเทศ และกองทุน TESG ที่คาดว่าจะเข้ามาช่วยหุ้นที่ได้ ESG เรตติ้ง AAA ให้ฟื้นตัวได้ดีในช่วงครึ่งหลังเดือนธ.ค.66
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในเดือน ธ.ค.66 คาดว่าจะเคลื่อนไหวแตะระดับ 1,440-1,450 จุด โดยธีมในเดือน ธ.ค. คาดหวัง 2 ประเด็น คือ คาดเห็นการทำ Window Dressing จากนักลงทุนสถาบันในประเทศ หลังจาก SET INDEX ปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก และกองทุน TESG ที่คาดว่าจะเข้ามาช่วยหุ้นที่ได้ ESG เรตติ้ง AAA ให้ฟื้นตัวได้ดีในช่วงครึ่งหลังเดือนธ.ค.66
ทั้งนี้คาดกองทุน TESG จะเป็นแรงผลักดันในช่วงครึ่งหลังของเดือนธ.ค.66 โดยปัจจุบันแต่ละกองทุนอยู่ระหว่างการเปิดให้จองซื้อในลักษณะ IPO ดังนั้นคาดเม็ดเงินจะเริ่มไหลเข้าในช่วงที่แต่ละกองสิ้นสุดการจองซื้อ เบื้องต้นคาดสิ้นสุดการทำ IPO ในช่วงวันที่ 15-18 ธ.ค.66 โดยคาดว่าช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายของปีน่าจะเห็นแรงซื้อที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากในช่วง 6 วันทำการที่ผ่านมากองทุนซื้อติดต่อกันต่อเนื่อง
ขณะที่ติดตามการประชุม ครม. วันนี้ โดยมีประเด็นที่น่าสนใจคือ 1.ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเฉลี่ย 2.4% 2.มาตรการแก้หนี้ SMEs รหัส 21 โดยจะมีการพักชำระหนี้เป็นเวลา 1 ปี ในวงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อราย และลดอัตราดอกเบี้ยให้เป็นกรณีพิเศษ โดยรัฐจะชดเชยดอกเบี้ยให้ 1%
3.กระทรวงพลังงานเสนอการทบทวนอัตราค่าไฟฟ้างวด ม.ค. - เม.ย. 2567 ที่ 4.68 บาทต่อหน่วย โดยมีการเสนอให้ผู้ใช้ไฟฟ้ากลุ่มเปราะบางไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน ให้ใช้ค่าไฟเท่าเดิมคือ 3.99 บาทต่อหน่วย คาดมาตรการดูแลค่าครองชีพและกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการขึ้นค่าแรง จะเป็นผลดีต่อ Domestic Play เช่น โรงไฟฟ้า ไฟแนนซ์ และค้าปลีก
ส่วนบอร์ดไตรภาคี เคาะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเฉลี่ย 2.37% ตั้งแต่ 6-18 บาท เตรียมเสนอครม.วันนี้ เพื่อให้เริ่มมีผล 1 ม.ค. 2567 อย่างไรก็ตาม นายกฯ ยังไม่เห็นด้วยกับอัตราการปรับขึ้นดังกล่าว เพราะน้อยเกินไป ทำให้อาจมีการทบทวนตัวเลขให้สูงกว่านี้
ในส่วนของความเห็นเชิงกลยุทธ์ ประเมินผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงถือว่าไม่มาก ยังไม่กระทบ EPS ของ SET INDEX อย่างมีนัยสำคัญ แต่ช่วยลดแรงกดดันต่อกลุ่มที่กังวลเรื่องค่าแรงก่อนหน้านี้ เช่น ปั๊มน้ำมัน ร้านอาหาร และรับเหมาก่อสร้าง อาจเห็นแรงซื้อคืนในเมื่อผ่าน ครม. เช่น PTG, STEC, CK, SYNTEC
ขณะที่กลุ่มค้าปลีกและไฟแนนซ์ได้ Sentiment เชิงบวกเบาๆ จากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย เช่น BJC, CPALL, DOHOME, GLOBAL, NCAP, JMT, SINGER เป็นต้น
Wealthy Thai ได้สำรวจข้อมูลเพิ่มเติมพบว่า นักลงทุนสถาบันในประเทศเข้าซื้อสุทธิหุ้นไทย 8 วันติด ไปแล้วกว่า 4,448 ล้านบาท ในช่วง 8 วันทำการที่ผ่านมา
โฆษณา