12 ธ.ค. 2023 เวลา 11:11 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ESG ไม่ใช่แค่กระแส แต่คือ "เมกะเทรนด์" ที่สำคัญมากในการลงทุน

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัจจุบัน ESG คือหนึ่งในประเด็นที่กำลังมาแรง และถูกพูดถึงอย่างมากที่สุดในเวลานี้ อีกทั้งประเทศไทย ก็เพิ่งออกกองทุนลดหย่อนภาษีน้องใหม่ อย่างกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน หรือ “Thai ESG” อีกด้วย
1
แต่อะไรที่ทำให้ ESG จากเทรนด์เล็ก ๆ สู่เมกะเทรนด์ที่ยิ่งใหญ่ในวันนี้
ก่อนอื่น KTAM อยากชวนทุกคนมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า คำว่า “ESG” นี้ คืออะไรกันแน่ ?
ESG ย่อมาจากคำว่า Environment, Social และ Governance ซึ่งก่อนหน้านี้หลายคนอาจคุ้นชินว่า นี่คือเรื่องของสิ่งแวดล้อมเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว ESG ยังมีเรื่องของสังคม (Social) และธรรมาภิบาล (Governance)
2
ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญ และละเอียดอ่อนมาก อีกทั้งยังมีผลกระทบโดยตรงต่อผู้ดำเนินธุรกิจ รวมถึงนักลงทุนอีกด้วย
🔍 สิ่งที่หลายคนกำลังสงสัยคือ “ESG” ที่ว่านี้ มีความสำคัญอย่างไร หรือมีผลกระทบกับธุรกิจ และนักลงทุนจริงเหรอ ?
ในมุมของ KTAM มองว่า หากธุรกิจไหนที่ใส่ใจเรื่องของ ESG ก็จะทำให้บริษัทนั้น มีความน่าเชื่อถือที่มากกว่า เพราะนั่นหมายความได้ว่า ธุรกิจจะมีระบบการกำกับดูแลกิจการที่ดี มีการบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการดำเนินงานอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม
4
ในทางกลับกัน แน่นอนว่า ธุรกิจที่ไม่ได้ใส่ใจเรื่องของ ESG ก็จะถือได้ว่าธุรกิจนั้นมีความเสี่ยงที่สูงกว่า ซึ่งอาจมาจากการดำเนินงานที่ไม่ได้ประสิทธิภาพ สร้างมลพิษทางอากาศ หรือทำลายสภาพแวดล้อม ซึ่งการที่ธุรกิจไม่ได้คำนึงถึงสังคมและสิ่งแวดล้อมนี้ ท้ายที่สุดผลกระทบที่ธุรกิจนั้นสร้างขึ้นมาก็จะตีกลับไปยังธุรกิจนั้น ๆ ทำให้ธุรกิจได้รับความเสียหายไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
3
💡 เพราะฉะนั้นแล้ว หากนักลงทุนเลือกที่จะลงทุน ก็ควรมองหาธุรกิจที่คำนึงถึงทั้งสังคม สิ่งแวดล้อม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี เพราะนั่นถือเป็นตัวเลือกที่ช่วยให้พอร์ตการลงทุนของเรายั่งยืนได้นั่นเอง
🔍 แต่ถ้าถามว่า ESG นั้นสำคัญมากแค่ไหนในไทย ?
เราคงเห็นได้ชัดมากขึ้นจากการที่ไทยเรามีการออกกองทุนเพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษีน้องใหม่อย่าง “ThaiESG” ซึ่งเน้นลงทุนในหุ้นไทย และ/หรือตราสารหนี้ไทย ที่ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึง ESG ตามหลักเกณฑ์ที่สำนักงาน ก.ล.ต. กำหนด
อีกทั้งยังสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ 30% ของรายได้ สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาทในปีภาษีนั้น ๆ โดยที่สิทธิลดหย่อนนี้ จะไม่รวมกับการลงทุนใน SSF, RMF และกลุ่มการลงทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ
ที่ลดหย่อนภาษีรวมกันได้ 500,000 บาท แต่จะได้วงเงินลดหย่อนเพิ่มอีก 100,000 บาท รวมสูงสุดเป็น 600,000 บาท
ที่สำคัญคือ ไม่จำเป็นต้องซื้อทุกปี แต่จะต้องลงทุนระยะยาวอย่างน้อย 8 ปี (นับแบบวันชนวัน) เรียกได้ว่า…เป็นกระแสฮือฮาของนักลงทุนชาวไทยอย่างมาก และถือเป็นตัวเลือกที่หลายคนรอคอย ซึ่งการออกมาในรูปแบบของกองทุนระยะยาว ที่ต้องถือหน่วยลงทุนให้ครบ 8 ปี โดยไม่สามารถขายคืนได้ระหว่างทางนั้น ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะทำให้มูลค่าของหุ้น ESG เติบโตมากขึ้นไปอีกด้วย
และนี่จึงเป็นเหตุผลที่บอกว่า ทำไม ESG จากเทรนด์เล็ก ๆ ถึงสามารถนำไปสู่เมกะเทรนด์ที่ยิ่งใหญ่ได้ในอนาคต
🔍 คำถามต่อมา… เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ธุรกิจนั้นใส่ใจเรื่องของ ESG จริง ?
โดยข้อมูลจากเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2558 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้มีการจัดทำ “รายชื่อหุ้นยั่งยืน THSI (Thailand Sustainability Investment)” ซึ่งเป็นหุ้นของบริษัทจดทะเบียน ที่มีการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนโดยคำนึงถึงหลัก ESG
1
ต่อมาในปี 2566 ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ประกาศเปลี่ยนชื่อเป็น “หุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings” พร้อมทั้งประกาศผลประเมินในรูปแบบ ESG Ratings เป็นปีแรก เพื่อให้นักลงทุนได้มีข้อมูลประกอบในการตัดสินใจลงทุน
สำหรับบริษัทจดทะเบียนที่ผ่านการประเมิน จะต้องมีผลคะแนนประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings อย่างน้อย 50% ในแต่ละมิติ และยังต้องมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนดด้วย เช่น
  • ผลการประเมินคุณภาพรายงานด้านบรรษัทภิบาล (CGR)
  • ผลประกอบการด้านกำไรสุทธิและส่วนของผู้ถือหุ้น
  • ผลการกำกับดูแลในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติของบริษัทจดทะเบียน และการไม่สร้างผลกระทบด้าน ESG
  • การเป็นหลักทรัพย์ที่ไม่ถูกขึ้นเครื่องหมาย C ซึ่งเป็นเครื่องหมายที่ขึ้นเตือนบริษัทจดทะเบียน มีเหตุการณ์ที่อาจมีผลกระทบต่อฐานะการเงิน และการดำเนินธุรกิจ เป็นต้น
โดยที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะมีการประเมินความยั่งยืนปีละ 1 ครั้ง หากบริษัทใดมีคุณสมบัติไม่เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด ก็จะถูกคัดออกจาก SET ESG Ratings ซึ่งยังถูกคัดออกได้ในระหว่างปีด้วย
ฉะนั้น เราไม่จำเป็นต้องกังวลเลย ว่าจะมีบริษัทหรือธุรกิจไหนที่เข้ามาหลอกและฟอกเขียวเราได้ เพราะอย่างน้อยธุรกิจเหล่านี้ก็ต้องผ่านการประเมินตามกฎเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้วางเอาไว้เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งเราสามารถเข้าไปดูรายชื่อหุ้นได้ผ่านช่องทาง >> https://bitly.ws/34m3s
โดยปัจจุบัน ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ระบุว่า มีบริษัทจดทะเบียนที่ได้ผ่านการคัดเลือก และได้รับการประกาศผลประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ปี 2566 แล้วกว่า 193 บริษัท คิดเป็นมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม *13 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 72% เมื่อเทียบกับมูลค่าหลักทรัพย์ ตามราคาตลาดทั้งหมดของ SET และ mai เรียกได้ว่า มีมูลค่าสูงอย่างมากเลยทีเดียว
2
*(มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566)
📍 อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว เชื่อว่านักลงทุนหลายท่าน ก็น่าจะเห็นถึงความสำคัญของ ESG กันมากขึ้นแล้ว และเชื่อว่า ESG ก็น่าจะเริ่มมีบทบาท ในการใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนของหลาย ๆ ท่านแล้วอีกด้วย
แต่หากวันนี้คุณเป็นนักลงทุนที่ต้องการลงทุนกับหุ้นในกลุ่ม ESG แต่ยังกลัวความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นรายตัว วันนี้ KTAM ก็มีตัวเลือกที่ช่วยบริหารความเสี่ยงของพอร์ตได้ กับ 3 กองทุนน้องใหม่ในกลุ่มกองทุน “KRUNGTHAI Thailand ESG Fund” ได้แก่
- กองทุนเปิดกรุงไทย ESG A Grade 70/30 (ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืน) หรือ KTAG70/30-ThaiESG
นโยบายการลงทุน : เน้นลงทุนในหุ้นทั้งใน SET และ mai ที่มี SET ESG Ratings ระดับ A ขึ้นไป โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 70% และตราสารหนี้กลุ่มความยั่งยืน โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่เกิน 30%
เหมาะกับ :
ผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในกองทุนผสม กระจายลงทุนทั้งในหุ้น และตราสารหนี้ สามารถยอมรับความเสี่ยงได้ปานกลางค่อนข้างสูง รวมถึงผู้ที่ต้องการลงทุนในกองทุนที่บริหารแบบ Active เพื่อมุ่งหวังผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีอ้างอิง
⚠️ กองทุนนี้มีความเสี่ยงระดับ 5
อ่านรายละเอียดกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ : https://rb.gy/wljm9h
- กองทุนเปิดกรุงไทย ESG50 (ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืน) หรือ KTESG50-ThaiESG
นโยบายการลงทุน : เน้นลงทุนในหุ้นที่มีขนาดใหญ่ประมาณ 50 ตัวแรกที่อยู่ในดัชนี SET ESG Index และ อยู่ใน Universe ทางด้าน ESG ของ KTAM โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV
เหมาะกับ : ผู้ที่ต้องการลงทุนในหุ้นยั่งยืนที่อยู่ในดัชนี SET ESG และอยู่ใน Universe ของ KTAM โดยที่ผู้ลงทุนสามารถยอมรับความเสี่ยงจากการลงทุนได้สูง จากการลงทุนในหุ้น
⚠️ กองทุนนี้มีความเสี่ยงระดับ 6
อ่านรายละเอียดกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ : https://rb.gy/0f9z6f
- กองทุนเปิดกรุงไทย ESG A Grade (ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืน) หรือ KTAG-ThaiESG
นโยบายการลงทุน : เน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก ทั้งใน SET และ mai ที่มี SET ESG Ratings ระดับ A ขึ้นไป โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV
เหมาะกับ : ผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นไทยที่อยู่ในกลุ่ม ESG และสามารถยอมรับความเสี่ยงได้สูง จากการลงทุนในหุ้น รวมถึงผู้ที่ต้องการลงทุนในกองทุนที่บริหารแบบ Active เพื่อมุ่งหวังผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีอ้างอิง
⚠️ กองทุนนี้มีความเสี่ยงระดับ 6
อ่านรายละเอียดกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ : https://rb.gy/5e1su8
ลงทุนออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน KTAM Smart Trade ง่าย สะดวก ปลอดภัย
ดาวน์โหลด :
สอบถามรายละเอียดหรือขอรับหนังสือชี้ชวนที่ ธนาคารกรุงไทย ผู้สนับสนุนการขาย หรือ บลจ.กรุงไทย โทร. 02-686-6100 กด 9
คำเตือน : ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ หากการลงทุนไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด อาจต้องคืนสิทธิประโยชน์ทางภาษีและเสียเงินเพิ่ม
ปัจจัยความเสี่ยงที่สำคัญ :
ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ (Market Risk)
ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนที่คำนึงถึงการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG)
ความเสี่ยงจากการดําเนินงานของผู้ออกตราสาร (Business Risk)
ความเสี่ยงจากการผิดนัดชําระหนี้ของผู้ออกตราสาร (Credit Risk)
ความเสี่ยงจากการขาดสภาพคล่องของหลักทรัพย์ (Liquidity Risk)
ความเสี่ยงจากการลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
ความเสี่ยงของการลงทุนในตราสารที่มีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structured Note Risk) เป็นต้น
References:
โฆษณา