13 ธ.ค. 2023 เวลา 05:39 • อสังหาริมทรัพย์

อัพเดทความคืบหน้าล่าสุด "Dusit Central Park"

เตรียมเปิดเฟสแรกกลางปี 2567 พร้อมพาทัวร์ห้องตัวอย่าง The Residences at Dusit Central Park
โครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค (Dusit Central Park) ถือเป็นอีกหนึ่งการลงทุนพัฒนาโครงการรูปแบบมิกซ์ยูสครั้งประวัติศาสตร์มูลค่ากว่า 46,000 ล้านบาท บนที่ดินขนาด 23 ไร่ โดยเป็นการร่วมทุนกันพัฒนาระหว่าง บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) และบริษัท เซ็นทรัล พัฒนา จำกัด (มหาชน) ภายใต้บริษัท วิมานสุริยา จำกัด
ได้รับสัญญาเช่าจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์รวม 60 ปี ไม่รวมเวลาก่อสร้าง 7 ปี รวมเป็น 67 ปี ซึ่งนับเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ที่สุดของกลุ่มดุสิตธานี ภายใต้แนวคิด Here for Bangkok บนพื้นที่หัวมุมถนนสีลม-พระราม 4 ซึ่งศักยภาพของทำเลดังกล่าวได้พัฒนาไปมากจากเมื่อครั้งสมัยโรงแรมดุสิตธานีเดิมยังอยู่เป็นแลนด์มาร์ค โดยแนวคิด Urban re-development ได้ถูกนำมาใช้กับการเปลี่ยนผ่านของดุสิตธานี
ซึ่งเป็นทำเลศักยภาพที่ได้ชื่อว่ามีราคาสูงที่สุดของกรุงเทพฯ และยังเป็นการพลิกโฉมศูนย์กลางธุรกิจถนนสีลม ให้มีความโดดเด่นเป็นไอคอนิคของกรุงเทพมหานคร อีกทั้งยังเป็นโครงการเดียวที่มอบวิวของสวนลุมพินีแบบพาโนรามิค 100% พร้อมด้วยรูฟพาร์คกว่า 7 ไร่ที่เชื่อมต่อกับพื้นที่สีเขียวธรรมชาติ 360 ไร่อย่างลงตัว ยกระดับการใช้ชีวิตเมืองให้มีความใกล้ชิดธรรมชาติเทียบเมืองชั้นนำระดับโลก
โดยโครงการฯจะแบ่งเป็น 4 ส่วน มีพื้นที่อาคารรวมกันทั้งหมดประมาณ 403,000 ตารางเมตร ได้แก่ โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ, โครงการที่พักอาศัยระดับอัลตร้าลักชัวรี่ในรูปแบบ Leasehold Branded Residences ที่มีชื่อว่า The Residences at Dusit Central Park อันประกอบไปด้วย “ดุสิต เรสซิเดนเซส” (Dusit Residences) และ “ดุสิต พาร์คไซด์” (Dusit Parkside), อาคารสำนักงาน เซ็นทรัล พาร์ค ออฟฟิศเซส และศูนย์การค้าเซ็นทรัล พาร์ค
จากองค์ประกอบเหล่านี้ โครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค จะกลายเป็นอสังหาริมทรัพย์ระดับเมกะโปรเจกต์ที่สามารถดึงดูดการลงทุนและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มหาศาล ในส่วนโรงแรมดุสิตธานีโฉมใหม่ ระดับ 6 ดาว จะพร้อมเปิดให้บริการเป็นเฟสแรกในครึ่งหลังของปี 2567 บนตึกความสูง 39 ชั้น ด้วยจำนวน 257 ห้องพัก ที่ออกแบบให้ทันสมัยและใหญ่ขึ้น
แต่ยังคงไว้ซึ่งกลิ่นอายของความเป็น ‘ดุสิตธานี’ แบบดั้งเดิม สำหรับส่วนของออฟฟิศและศูนย์การค้าที่อาศัยความเชี่ยวชาญจากเซ็นทรัลพัฒนา จะเปิดให้บริการเป็นเฟสที่สองภายในปี 2568 และโครงการที่พักอาศัย ดุสิต เรสซิเดนเซส และ ดุสิต พาร์คไซด์ จะทยอยเริ่มโอนในช่วงปลายปี 2568
ดุสิต เซ็นทรัล พาร์คจะไม่อาจเป็นเซ็นทรัล พาร์ค ได้สมชื่อหากขาดจุดเด่นสำคัญ คือ การออกแบบพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ เรียกว่ารูฟพาร์ค (Roof Park) สวนสาธารณะลอยฟ้าขนาด 7 ไร่ ภายในโครงการ ถูกโอบล้อมด้วยกลุ่มอาคารทั้งสี่ ซึ่งจะเป็นจุดเด่นสำคัญของโครงการที่แสดงให้เห็นการใช้ประโยชน์ที่ดินสูงสุดเพื่อสาธารณประโยชน์
และเอื้อต่อไลฟ์สไตล์ใหม่ ๆ ของคนเมือง ในแง่การออกแบบพื้นที่ให้เอื้ออำนวยต่อชุมชนและสร้างการเชื่อมต่อระหว่างโครงการและย่านสีลม-พระราม4 คุณสมเกียรติ โล่ห์จินดาพงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท สถาปนิก 49 จำกัด (A49) หนึ่งในสถาปนิกที่ร่วมพัฒนาและออกแบบโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ได้เปิดเผยเบื้องหลังแนวคิดการออกแบบกลุ่มอาคารมิกซ์ยูสว่า
“จุดสำคัญที่คล้ายกันของ CBD ในกรุงเทพฯ ที่เป็นทำเลศักยภาพย่านธุรกิจ คือ ต้องมีการเชื่อมต่อของรถไฟฟ้าบีทีเอสและเอ็มอาร์ที และอยู่ตรงหัวมุมถนน อย่างเช่น ทำเลแยกอโศก-สุขุมวิท และแยกสีลม-พระรามสี่ ตรงนี้ผมถือว่าเป็น Traffic ที่ชี้ให้เห็นศักยภาพการเติบโตและขยายตัวของเมืองและธุรกิจได้ดี แต่ความพิเศษของหัวมุมถนนสีลม
ซึ่งเป็นทำเลของดุสิตธานี คือการมีสิ่งที่เรียกว่า Emotion จากมุมมองติดธรรมชาติของสวนลุมพินีซึ่งอยู่ตรงข้ามกับทำเลพอดิบพอดี และเราทุกคนต่างทราบว่าไม่มีทำเล CBD ไหนที่มีครบทั้ง Traffic และ Emotion เหมือนสีลม”
สำหรับในส่วนของโครงการพักอาศัยระดับอัลตร้าลักชัวรี่ในรูปแบบ Leasehold Branded Residences “Dusit Residences” และ “Dusit Parkside” นั้น แน่นอนว่าด้วยการที่เป็น Leasehold จึงเป็นหนึ่งในจุดแข็งของโครงการที่ดึงดูดกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ ที่คุ้นเคยกับตลาด Leasehold มากกว่า และยังไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของการถือครองของชาวต่างชาติ
ที่มีลิมิตแค่ 49%ของจำนวนยูนิตสำหรับโครงการ Freehold โดยรายงานของ Knight Frank พบว่าที่อยู่อาศัยในเมืองใหญ่ที่ติดสวนสาธารณะ และมีทิวทัศน์น่าดึงดูดจะเป็นการลงทุนที่ก่อให้เกิดความคุ้มค่ามากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยที่มีวิวสวนสาธารณะหลักของเมือง จะมีราคาโดยเฉลี่ยสูงกว่า เมื่อเทียบกับที่อยู่อาศัยในระดับเดียวกันที่ไม่มีวิวสวนถึง 34% โดยที่อยู่อาศัยพร้อมวิวสวนสาธารณะ
ไม่เพียงแต่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต นอกจากนี้ผลการสำรวจจาก The Urban Land Institute The Case for Open Space ยังพบอีกว่า 85% ของผู้อยู่อาศัยในสหรัฐฯ ระบุว่าความใกล้ชิดกับสวนสาธารณะ สนามเด็กเล่น พื้นที่เปิดโล่ง เป็นปัจจัยในการตัดสินใจเลือกที่อยู่อาศัยของพวกเขา
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดอสังหาริมทรัพย์ริมสวนสาธารณะอย่าง Hyde Park ลอนดอน Central Park นิวยอร์ก Hickson Park ซิดนีย์ หรือแม้กระทั่ง The Botanical Garden ที่สิงคโปร์ จึงได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ทั้งนี้หากเปรียบให้เห็นภาพมากขึ้นกับกรุงเทพฯ คงหนีไม่พ้นสวนลุมพินี
ซึ่งเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่อันเปรียบเสมือนปอดของกรุงเทพฯ พร้อมด้วยแหล่งกิจกรรม การท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจ และถือเป็นตัวแทนของพื้นที่สีเขียวและความงดงามของเมืองกรุงอย่างแท้จริง
Dusit Residences มีรายละเอียดงานดีไซน์ที่สะท้อนคุณค่าดั้งเดิมของดุสิตธานีที่ผสานเข้ากับดีไซน์ทันสมัยในมาตรฐานสากลเพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้สัมผัสความรู้สึกถึง “บ้าน” ที่มีความเป็นส่วนตัวสูงสุดภายใต้รูปแบบสถาปัตยกรรมอาคารที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นของอาคารทันสมัยความสูง 69 ชั้น มีสองแบรนด์ที่พักอาศัยอยู่ในอาคารเดียวกัน
เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่าง คือดุสิต พาร์คไซด์ (Dusit Parkside) จำนวน 246 ยูนิต พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 55 – 115 ตารางเมตรบริเวณ ตั้งแต่ชั้นที่ 9 – 29 ด้วยดีไซน์แบบร่วมสมัย ให้ความเป็นส่วนตัวสูง ตอบโจทย์ผู้ที่ชื่นชอบไลฟ์สไตล์คนเมือง เหมาะสำหรับกลุ่มหนุ่มสาวรุ่นใหม่ คนทำงานในเมือง และครอบครัวขนาดเล็ก
และดุสิต เรสซิเดนเซส (Dusit Residences) จำนวน 160 ยูนิต ขนาดพื้นที่ 120 – 750 ตารางเมตร ตั้งแต่ชั้นที่ 30 – 69 ดีไซน์หรูประณีตมีความคลาสสิก พื้นที่ใช้สอยกว้างเสมือนอาศัยในบ้านหลังใหญ่ ตกแต่งด้วยเครื่องเรือนสไตล์เอเชียร่วมสมัย แฝงความเป็นไทยด้วยการเลือกใช้สีสันและความงามของวัสดุธรรมชาติ เสริมบรรยากาศโปร่งสบายด้วยดีไซน์เพดานเปิดโล่งความสูง 6.6 เมตร โถงลิฟท์ส่วนตัว (Private Lift Lobby)
รับวิวธรรมชาติสวนลุมพินีตัดขอบฟ้ากรุงเทพฯ อย่างงดงาม เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการอยู่อาศัยสไตล์หรูคลาสสิก มีไลฟ์สไตล์แบบคนเมือง รวมถึงกลุ่มลูกค้าดั้งเดิมที่ชื่นชอบความเป็นดุสิตธานี ชอบพื้นที่กว้าง หรือมีครอบครัวที่ต้องการพื้นที่ส่วนตัวให้กับสมาชิกทุกคน และยังเป็น Pet Friendly Residences
โครงการมีจุดเด่นเพิ่มเติมคือ การบริการที่เป็นเลิศในด้านฮอสพิทาลิตีของโรงแรมมาตรฐานระดับโลกภายใต้ชื่อเสียงและเอกลักษณ์งานบริการที่รู้จักกันมายาวนานในนามดุสิตธานี ซึ่งมีทั้งการบริการที่ทางโครงการฯ ได้จัดเตรียมไว้ให้ (Standard Services) และการบริการที่ผู้พักอาศัยสามารถขอรับบริการเพิ่มเติม (A la Carte Services) พร้อมด้วยแนวคิดที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพกายและสุขภาพใจ
ทางโครงการจึงจัดสรรพื้นที่ชั้น 8 ให้เป็นสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับทั้งสองแบรนด์ (Shared Facilities) โดยดีไซน์พื้นที่ส่วนกลางนี้ให้เป็นศูนย์สุขภาพ นอกจากนี้ยังมีห้องอเนกประสงค์ ห้องสปา ห้องทำผม ทำเล็บ รวมไปถึงสิ่งอำนวยความสะดวกเฉพาะแบรนด์ (Private Facilities) ของ “ดุสิต เรสซิเดนเซส” ที่ชั้น 46 และ“ดุสิต พาร์คไซด์” ที่ชั้น 29
ประกอบด้วย สระว่ายน้ำแบบอินฟินิตี้และเจ็ทพูล ห้องอาบน้ำและห้องเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย ห้องอบไอน้ำ ห้องซาวน่า ห้องออกกำลังกาย (Fitness Centre) ห้องโยคะ สกายเลาจน์ พร้อมห้องรับประทานอาหารเป็นส่วนตัว รวมพื้นที่อำนวยความสะดวกทั้งหมดกว่า 6,500 ตารางเมตร
คุณละเอียด โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค กล่าวเพิ่มเติมว่า “จุดเริ่มต้นของโครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค มาจากการที่เราให้คุณค่ากับชุมชน เราต้องการสร้างที่อยู่อาศัยที่เอื้อต่อไลฟ์สไตล์ในทุกรูปแบบ เพื่อบาลานซ์การใช้ชีวิตของคนเมืองที่มีทุกอย่างใกล้มือ ตัวใกล้ชิดธรรมชาติ รวมถึงมีที่อยู่อาศัยที่พร้อมด้วยการบริการแบบครบวงจร
นี่คือหลักยึดมั่นของโครงการนี้ว่าเราอยากให้ทุกคนได้ อาศัย ทำงาน และใช้ชีวิต ได้อย่างครอบคลุม ซึ่งโครงการที่พักอาศัยของเรา เป็นแบรนด์เด็ดเรสซิเดนส์ (branded residence) หมายความว่าเราเป็นเจ้าของเอง เราพัฒนาเอง ดูแลลูกบ้านด้วยตัวเอง ทำให้คนที่มาซื้อเชื่อใจได้ว่าเราจะดูแลอย่างดี” ดุสิต เรสซิเดนเซส ประกอบด้วยสองลิฟวิ่งคอนเซ็ปต์ (living concept)
ได้แก่ ดุสิต เรสซิเดนเซส และ ดุสิต พาร์คไซด์ ซึ่งปัจจุบันมียอดขายเข้าสู่ 80% หรือกว่า 300 ห้อง จากลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยล่าสุดสัดส่วนลูกค้าปัจจุบันเป็นชาวไทย 75% ต่างชาติ 25% ซึ่งคาดว่าสัดส่วนลูกค้าต่างชาติจะขยับเพิ่มขึ้นตามคาดการณ์เดิมที่ 35% เมื่อทุกประเทศเปิดให้ท่องเที่ยวได้อย่างเต็มรูปแบบ
ทั้งนี้กลุ่มดุสิตธานี ได้จับมือกับพาร์ทเนอร์และเอเจนท์ในหลายประเทศ รวมถึงได้มีการทำโรดโชว์สำหรับกลุ่มลูกค้าไฮเน็ตเวิร์ธในหลายประเทศ ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้ซื้อเป็นอย่างมาก โดยดุสิตฯ ยังวางแผนที่จะไปเจาะตลาดสิงคโปร์ ฮ่องกง จีน ไต้หวัน รวมถึงสหรัฐอเมริกาและยุโรป ภายในปีนี้อีกด้วย"
สำหรับราคาขายที่นี่เฉลี่ยประมาณตรม.ละ 350K ครับ (เป็นราคาที่อยู่ในอายุการ Lease 30 + 30 ปี หรือประมาณ 29.5 ปีครับ ถือว่าระยะยาวมาก และเป็น Leasehold ที่น่าซื้อที่สุดในมุมมองผมนะ) แต่จริงๆราคามีความหลากหลายมาก ให้ลองเข้ามาชมโครงการหรือสอบถามทางเจ้าหน้าที่จะดีกว่าครับ
ทางโครงการไม่อยากจะเปิดเผยข้อมูลเยอะ อยากให้เป็นเซอร์ไพร์สครับ โดยตอนนี้ห้อง Penthouse ทั้งหมด 7 ห้อง ขายไปแล้วครึ่งนึงครับ แต่ยังเหลือห้องใหญ่สุดขนาด 900 ตรม.นะครับ
ห้องตย.มี 3 ห้องเหมือนเดิมครับ หลายๆคนคงเคยเห็นกันแล้ว ทั้งแบบ 1 นอน 1 น้ำ ขนาด 77 ตรม., 2 นอน 2 น้ำ 1 ห้อง Powder ขนาด 158 ตรม. และ 3 นอน 3 น้ำ 1 ห้อง Powder 196 ตรม.
โฆษณา