13 ธ.ค. 2023 เวลา 11:57 • ธุรกิจ

รีดเลือดกับปูด้วย KPI

ช่วงนี้สรุปเป็นช่วงท้ายปี หลายหลายบริษัทก็มักจะตัดยอดค่าใช้จ่ายในส่วนของโบนัสโดยอาศัยสิ่งที่เรารู้จักกันดีที่เราเรียกกันว่า kpi (key personal indicator )
ในส่วนของเคพีไอนี้ในแต่ละบริษัทแต่ละแผนกก็มีการตัดเคพีไอที่ไม่เหมือนกันในส่วนของ เคพีไอในส่วนต้นปีพวกเรามักจะตั้งเอาไว้สวยหรูโดยไม่รู้ว่าในอนาคตสถานะทางเศรษฐกิจจะเป็นเช่นไร โดยเฉพาะในช่วงที่มีปัญหาด้าน โควิด-19 ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจซบเซาและที่สำคัญคือพวกเราไม่สามารถที่จะออกไปทำกิจกรรมส่งเสริมการขายแบบที่เคยทำกันมาได้
แม้ว่าในช่วงนี้ทางภาครัฐจะมีการให้ความช่วยเหลือในส่วนของ SME หรือธุรกิจขนาดเล็ก แต่เอาจริงๆก็ไม่ค่อยช่วยอะไรเท่าไหร่ เพราะว่าธุรกิจเดินต่อไปไปได้มันต้องมีทั้งในส่วนของ ซัพพลาย และในส่วนของ คัสตอมเมอร์หรือลูกค้า
ดังนั้นเคพีไอที่เราตั้งแบบสวยหรูเมื่อตอนต้นปีไม่สามารถนำมาใช้ได้ตลอดทั้งปีและแน่นอนหลายหลายบริษัทจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเคพีไอจนกว่าจะจบสิ้นปีซึ่งนั่นแหละนรกชัดๆ
พวกเคพีไอที่ไม่ยืดหยุ่นจะทำให้เป็นเคพีไอที่ยากต่อการเข้าถึงยากต่อการทำได้ยากเกินความสามารถพนักงานทั่วไป และบั่นทอนกำลังใจมากกว่าจะเป็นกำลังใจให้กับพนักงานที่ขยันทำงาน
หลักการตั้งเคพีไอด้วยหลักการ S.M.A.R.T
KPI (Key Performance Indicators) ที่ตั้งตามหลัก SMART มักจะมีลักษณะดังนี้
1
- Specific (เฉพาะเจาะจง): ระบุเป้าหมายอย่างชัดเจนและโดยละเอียด เช่น "เพิ่มยอดขายของผลิตภัณฑ์ A 10% ในไตรมาสต่อไตรมาส"
 
- Measurable (สามารถวัดได้): มีวิธีการวัดผลสำหรับตรวจสอบความสำเร็จ เช่น "ใช้ยอดขายเป็นตัววัดผลโดยการเทียบยอดขายเดือนก่อนหน้ากับเดือนปัจจุบัน"
- Achievable (ที่สามารถทำได้): เป้าหมายที่เหมาะสมและสามารถทำได้ภายใต้เงื่อนไขและทรัพยากรที่มีอยู่ เช่น "เพิ่มยอดขายโดยการใช้ยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์ที่มีอยู่และการโปรโมทผ่านโฆษณาออนไลน์"
 
- Relevant (สอดคล้อง): เกี่ยวข้องกับวัตถุประสงค์หรือแผนกลยุทธ์ขององค์กร เช่น "เพิ่มยอดขายในช่องทางที่มีฐานลูกค้ามากที่สุดเพื่อรองรับเป้าหมายการขยายตัวของบริษัท"
 
- Time-bound (มีระยะเวลา): กำหนดเป้าหมายและระยะเวลาที่จำกัด เช่น "เพิ่มยอดขายภายในสามเดือน"
การตั้ง KPI ตามหลัก SMART ช่วยให้การวางแผนและการวัดผลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและชัดเจน เพื่อให้สามารถติดตามและปรับปรุงการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่นอกจากการตั้งค่าดังข้างต้นแล้วสิ่งที่จำเป็นอีกอย่างก็คือความเป็นไปได้ของเคพีไอที่เราตั้งขึ้น
บางคนค่าเคพีไอสวยหรูเกินไปไม่เหมาะสมกับความเป็นจริงทำให้เกิดประเด็นดราม่าขึ้นมาภายในแผนกได้
เช่นเจ้านายต้องการเป้าที่สูงเกินไปเพื่อซัพพอร์ตตัวเองมากกว่าทีมที่บีบบังคับให้พนักงานในแผนกทำงานหนักเพื่อให้ได้เป้าหมายเคพีไอที่ตัวเองตั้งไว้เป็นต้น
นั่นทำให้ความไว้ใจในหัวหน้าหมดลงพร้อมทั้งบางคนถึงขั้นหมดไฟในการทำงานเลยทีเดียว
เปรียบเสมือนการขุดรีดเลือดจากปูซึ่งเราก็รู้อยู่แล้วปูมันไม่มีเลือดแม้ในความเป็นจริงสิ่งมีชีวิตที่ชีวิตมีเลือดก็ตามเพียงแต่ว่าปูไม่มีเลือดสีแดงให้เห็น ทำให้พวกเราอนุมานว่าปูมันไม่มีเลือด (ฮา) จริงๆแมลงวันก็มีเลือดนะแต่เลือดมันไม่มีสี เวลาเราตีแมลงวันตายเราจึงไม่เห็นเลือดมันซักหยด
เอาละกลับเข้ามาที่เรื่องเดิมเราจะมาพูดถึงการขูดเลือดหรือจะเปรียบเทียบอีกอย่างหนึ่งก็เหมือนกับการที่เราบิดผ้าแห้งเพื่อเอาน้ำซึ่งเราก็รู้อยู่แล้วว่ามันไม่มีน้ำเพราะมันเป็นผ้าแห้งเหมือนกับพนักงานที่ไม่มีซัพพลายคอยสนับสนุนการทำงานไม่มีน้ำเลี้ยงหรือแม้แต่กำลังใจจากหัวหน้าเคพีไอที่ตั้งขึ้นก็ไม่มีทางที่จะสำเร็จแต่เหมือนมันจะเป็นประโยชน์กับทางบริษัทที่ไม่จำเป็นจะต้องจัดสรรเงินในส่วนนี้เพื่อตอบแทน พนักงานโดยเฉพาะในในช่วงเศรษฐกิจขาลง
ตั้งเคพีไอแบบเว่อร์วังอลังการอาจเป็นแผนส่วนหนึ่งของบริษัทก็เป็นได้(ฮา) อันนี้อาจจะเปรียบเหมือนตลกร้ายสักหน่อยแต่ว่าในความเป็นจริงแล้วการตั้งโบนัสหรือการให้ค่าตอบแทนอื่นๆนอกเหนือจากเงินเดือนถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นเหมือนกันส่งทหารไปรบ หากรบแล้วไม่ได้สิ่งตอบแทนครั้งหน้าใครล่ะจะอยากจะไปรบให้ สู้ยอมตายไปกับกองทัพอื่นหรือจะเรียกง่ายๆว่าไปตายเอาดาบหน้า ก็คงไม่ผิด
แบบนี้ต่อให้หัวหน้าเก่งแค่ไหนก็ฝากบริษัทหรือเรือใหญ่ของเราไปไม่ถึงฝั่งฝั่งแน่นอน
อยากฝากให้ทางหัวหน้าทุกท่านช่วยกันคิดเคพีไอที่วัดผลได้และในความเป็นจริงจะดีมาก อีกข้อหนึ่งก็ตรงที่เคพีไอควรสามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างน้อยก็ทุกครึ่งปีก็ยังดี มันจะได้สามารถปรับเปลี่ยนได้ไม่ใช่รู้ว่าไปผิดทางแล้วยังดันทุลังอันนั้นจะพากันตายไปซะก่อน เอวัง
โฆษณา