18 ธ.ค. 2023 เวลา 05:30

6 วิธีช่วยให้ใช้ชีวิตเหมือนกับว่า “วันนี้เป็นวันสุดท้าย”

การจากลา ไม่ว่าจาก ‘เป็น’ หรือจาก ‘ตาย’ ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น
เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน หลายคนคงได้ยินข่าวอันน่าสะเทือนอารมณ์ถึงการจากไปของคุณหมอกฤตไท ธนสมบัติกุล หรือเจ้าของเพจ “สู้ดิวะ” ผู้ที่ออกมาเล่าเรื่องราวการเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้ายแม้ว่าที่ผ่านมานั้นคุณหมอจะดูแลตัวเองอย่างดีมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นเข้ายิมอย่างสม่ำเสมอ ทานอาหารคลีน ไม่สูบบุหรี่ รวมถึงไม่ดื่มแอลกอฮอล์อีกด้วย
เรื่องราวในครั้งนี้ได้มอบบทเรียนล้ำค่าให้กับผู้ติดตามมากมาย นั่นก็คือ “ชีวิตคนเรานั้นไร้ซึ่งความแน่นอน” และเราไม่อาจหลีกหนีความตายได้พ้น
แม้ว่าจะต้องเผชิญกับโรคร้าย คุณหมอกฤตไทกลับเล่าเรื่องราวผ่านหนังสือ “สู้ดิวะ” ด้วยความคิดเชิงบวกว่า เขาใช้ชีวิตช่วงที่ผ่านมาได้ดีมาก ดีแบบไม่มีอะไรให้เสียใจ ไม่มีอะไรที่อยากย้อนกลับไปทำหรือกลับไปแก้ไขในอดีตเลย และไม่มีความรู้สึกว่า “รู้งี้ทำแบบนั้นตอนนั้นดีกว่า”
ทำให้เขาเลือกจะใช้ชีวิตในช่วงสุดท้ายด้วยการถ่ายทอดบทเรียนแห่งชีวิต เพื่อเป็นพลังให้กับคนที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ คุณหมอได้มอบแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตให้กับใครหลายๆ คน ทำให้บางคนหันกลับมาทบทวนชีวิตของตัวเองใหม่อีกครั้ง และที่สำคัญคือทำให้ทุกคนตระหนักถึงผลกระทบของฝุ่น PM2.5 กันมากขึ้น
อย่างไรก็ดี มีข้อคิดประการหนึ่งที่คุณหมอกฤตไททิ้งไว้ให้กับทุกคนคือ “ใช้ชีวิตแต่ละวันให้เหมือนเป็นวันสุดท้าย” ซึ่งเป็นการกล่าวเป็นนัยๆ เพื่อสื่อว่าเราจะได้ไม่เสียดายทีหลังนั่นเอง
ทีนี้คำถามสำคัญจึงตกมาอยู่ที่ว่า แล้วเราควรเริ่มใช้ชีวิตอย่างไรให้เหมือนกับว่าวันนี้เป็นวันสุดท้าย?
1. พิจารณาให้ดีว่าอะไรเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเรา
ชีวิตของคนเรามีอะไรให้ทำตั้งมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการดูแลลูก/ครอบครัว การทำงานหนักเพื่อจุนเจือชีวิต การอบขนมเพื่อคลายความเครียด การดูซีรีส์เพื่อความสุขในชีวิต หรือแม้แต่การเดินเล่นกับสัตว์เลี้ยงในสวนใกล้บ้าน
แต่ละคนมีกิจกรรมที่ชื่นชอบแตกต่างกันออกไป แต่บางครั้งเราอาจหลงลืมกิจกรรมเหล่านั้น และให้ความสำคัญกับเรื่องราวเล็กน้อยในชีวิต จนทำให้เสียเวลาอันมีค่าของตัวเองไป ดังเช่นที่คุณหมอกฤตไทเคยกล่าวไว้ว่า บางครั้งคนเราก็อาจหัวเสียกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น ตีบวกในเกมไม่ติด หงุดหงิดกับพุงย้อยๆ ของตนเอง หรือแม้กระทั่งรำคาญสิวบนหน้า
1
สิ่งเหล่านี้ถือเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่มีสาระสำคัญใดๆ ต่อชีวิต แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราเสียเวลาไปคิดถึงเรื่องเหล่านี้มากเกินไป เพราะฉะนั้นให้ลองหันมาทบทวนตัวเองอีกครั้งว่า แท้จริงแล้วเราสนุกกับการใช้เวลาของตัวเองแบบไหน เพราะอย่าลืมว่าถึงแม้ว่ารอบข้างเราจะมีคนมากมาย แต่สุดท้ายแล้วคนเดียวที่จะอยู่เคียงข้างเราไปตลอดก็คือ “ตัวเราเอง”
ดังนั้นพยายามทำในสิ่งที่ตัวเองมีความสุข แล้วสุดท้ายพอถึงวันที่เรามองกลับมาย้อนดูชีวิตของตัวเอง เมื่อถึงวันนั้นเราจะไม่รู้สึกเสียดายและเสียใจในภายหลัง ความสุขของเรา เราเป็นคนกำหนดเองได้ ถ้าความสุขของคุณคือครอบครัว ก็หาเวลาไปพบเจอครอบครัวบ่อยๆ ถ้าความสุขของคุณคือการมี Wok-Life Balance ก็อย่าหักโหมงานจนร่างกายเกินจะรับไหวเพียงเท่านั้นเอง
2. ใช้ชีวิตอย่างกล้าหาญ
“You Only Live Once (YOLO) – ชีวิตมีครั้งเดียว ใช้ซะ”
ประโยคนี้เราต่างก็ได้ยินกันอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะสามารถทำตามคำกล่าวยอดนิยมข้างต้นนี้ได้ เพราะมนุษย์เรานั้นมีความกลัวอยู่ในจิตใจ เช่น กลัวว่าถ้าทำสิ่งนี้ไปแล้วคนอื่นจะมองไม่ดี ทำสิ่งนั้นไปแล้วกลัวจะล้มเหลว เรียกว่ามีสารพัดความกลัวในหัวเลยก็ว่าได้
แต่ถ้าเราไม่อยากเสียใจกับชีวิตของตัวเองในภายหลัง บางครั้งเราก็ต้องกล้าเสี่ยง เพราะอย่างที่บอกว่า “ชีวิตเรามีแค่ครั้งเดียว” ถ้าไม่ใช้ตอนนี้แล้วจะใช้ตอนไหนได้อีก อีกทั้งอนาคตก็เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน หากวันใดวันหนึ่งเราไม่มีโอกาสได้ทำแล้ว ก็จะยิ่งเสียใจกว่าลงมือทำแล้วล้มเหลวหรือมีใครมองสิ่งที่เราทำในแง่ลบเสียอีก
เพราะฉะนั้นจงปลุกความกล้าหาญในตัว การที่เรากลัวไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องอยู่เฉย เราควรผลักดันให้ตัวเองได้ทำในสิ่งที่อยากทำจนสุดขอบฟ้า โดยอาจจะเริ่มจากการก้าวออกจากคอมฟอร์ตโซนของตัวเองออกมาทีละนิดๆ เช่น การออกมาเรียกร้องสิทธิ์ให้ตัวเอง หรือการเลือกเรียนในคณะที่ตัวเองรักแม้จะขัดกับความต้องการของครอบครัวไปบ้าง
ความกล้าทำในสิ่งที่อยากทำนั้นจะช่วยให้เราแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แล้วในอนาคตเราจะหันมาขอบคุณตัวเองที่กล้าเสี่ยงเพื่อ “ตัวเอง”
“Be bold in the present like there’s no tomorrow. – จงกล้าหาญในวันนี้ให้เหมือนกับว่าวันพรุ่งนี้จะไม่มาถึง”
3. เห็นคุณค่าสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิต
อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่า โลกเราล้วนไม่มีอะไรแน่นอน อะไรจะเกิดขึ้นในวันนี้ พรุ่งนี้ หรือวันมะรืนเราก็ไม่อาจทราบได้ บางครั้งเราต้องเผชิญกับความเสี่ยง ความท้าทาย หรือความน่าเบื่อของชีวิต จนอาจทำให้หลงลืมสิ่งที่มีความหมายไปได้
พูดเช่นนี้หลายคนอาจนึกภาพกันไม่ออก ขอยกตัวอย่างเป็นสถานการณ์ทั่วๆ ไปในชีวิตของเรา สมมติว่าในแต่ละวันเราขับรถไปตามถนนเดิมๆ ที่จราจรมักจะติดขัดทุกเช้า รอบตัวก็เต็มไปด้วยตึกสูง เห็นแต่วิวเดิมๆ เจอแต่คนหน้าเดิมๆ ทุกวัน สิ่งเหล่านี้อาจทำให้เราเบื่อหน่ายกับชีวิตหรืออาจถึงขั้นรู้สึกหงุดหงิดวุ่นวายใจได้
แต่อย่าลืมว่าท่ามกลางสิ่งที่น่าเบื่อหน่ายไร้ความตื่นเต้นเช่นนี้ ก็ยังมีสิ่งดีๆ เล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้นในชีวิตอยู่ ไม่ว่าจะเป็นอากาศดีๆ ในยามเช้า กาแฟรสชาติถูกปากในยามเที่ยง ความสวยงามของดอกไม้บนโต๊ะทำงาน และเสียงหัวเราะของคนที่เรารัก ที่สร้างรอยยิ้มแห่งความสุขให้กับเราหลังเลิกงาน
อย่าหัวเสียไปกับสิ่งไร้สาระรอบตัว จนลืมชื่นชมสิ่งเล็กน้อยที่เกิดขึ้นในทุกๆ วัน ถ้าเราโฟกัสเรื่องดีๆ ในแต่ละวันได้ สุดท้ายเราก็จะได้รับความสุขจากความธรรมดาที่ไม่ธรรมดาเหล่านี้ เพราะฉะนั้นจงทะนุถนอมและเห็นคุณค่าสิ่งเล็กๆ น้อยๆ รอบตัวให้ราวกับว่ามันเป็นครั้งสุดท้ายของเรา
4. จงพยายามอย่างสุดความสามารถ
หากอยากใช้ชีวิตอย่างที่อยากใช้ เพื่อไม่ให้เสียดายทีหลัง นอกจากจะมีความกล้าแล้ว เรายังต้องมีความเพียรพยายาม
ดังเช่นเรื่องราวของคุณหมอกฤตไทที่เคยเล่าไว้ว่า แรกเริ่มเขาไม่รู้ว่าจะเรียนต่อคณะอะไร เพราะใช้ชีวิตมาอย่างสนุกสนาน แถมยังมีโดดเรียนบ้างเป็นครั้งคราว แต่พอถึงจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของชีวิต (อากงป่วย) ก็ทำให้รู้ว่าตัวเองอยากเป็นหมอ ซึ่ง ณ ตอนนั้นเหลือเวลาอีกไม่ถึงปีก็ถึงเวลาต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย
ถึงแม้จะเหลือเวลาไม่มากนัก แต่เขาก็ไม่ละทิ้งในเป้าหมาย เขาทุ่มแรงกายแรงใจทั้งหมดไปกับการเตรียมสอบ ไม่ว่าจะเป็นอ่านหนังสือ เรียนพิเศษ และติวกับเพื่อน จนสุดท้ายก็สอบติดในคณะที่ตั้งเป้าไว้ นั่นคือ “คณะแพทยศาสตร์” ก็เรียกได้ว่าเขานั้นเป็นคนที่มีความเพียรพยายามเป็นอย่างมากเพื่อเป้าหมายของตนเอง เพราะนอกจากเรียนปริญญาตรีคณะแพทยศาสตร์แล้ว เขายังเรียนแพทย์เฉพาะทางต่ออีก 2 สาขา พร้อมปริญญาโทอีก 1 ใบ
เรื่องนี้ทำให้เห็นว่า หากเรามีเป้าหมาย มีความฝัน แม้ความหวังจะดูริบหรี่หรือเกิดความท้อใจ ณ ตอนนั้น สุดท้ายถ้าเราเพียรพยายามอย่างสุดความสามารถมันก็มีโอกาสไปถึงฝั่งฝันมากกว่าการอยู่นิ่งเฉย อย่างน้อยๆ ถ้าเราทำไม่สำเร็จ ในวันข้างหน้าเราก็จะได้ไม่เสียใจที่ไม่เคยลองพยายามมาก่อน
5. คว้าโอกาสดีๆ เอาไว้
“โอกาสดีๆ ไม่ได้มีบ่อยๆ” หลายคนคงเคยได้ยินคำแนะนำทำนองนี้จากคนรอบข้างเวลามีคนเสนอโอกาสดีๆ มาให้แต่เรายังลังเลที่จะโอบรับมันเอาไว้ ซึ่งก็จริงตามนั้น หากเราไม่อยากเสียดายทีหลัง ก็จงรับข้อเสนอที่เราคิดว่าดีเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นโอกาสในการทำงาน โอกาสในการไปเรียนต่อ โอกาสในการย้ายประเทศ และอื่นๆ อีกมากมาย
สำหรับใครที่กังวลเกี่ยวกับผลที่ตามมาในภายหลังก็ต้องบอกว่า แน่นอนว่าอย่าลืมคิดถึงเหตุและผลอย่างรอบด้าน เพราะบางครั้งการตัดสินใจของเรานั้นมีผลต่ออนาคต แต่บางครั้งเราก็ไม่ควรปฏิเสธโอกาสดีๆ เพียงเพราะกังวลเกี่ยวกับเรื่องในอนาคตที่เราไม่สามารถคาดเดาและควบคุมอะไรได้
ดังนั้นอะไรที่คิดว่าดี ก็ควรคว้าไว้ จะได้ไม่เสียใจทีหลัง ชีวิตคนเราก็ต้องมีการลองเสี่ยงหรือลองผิดลองถูกกันดูบ้าง แม้ว่าบางครั้งเราอาจเลือกเส้นทางผิด แต่อย่างน้อยเราก็ได้ลอง แถมยังได้บทเรียนเป็นของแถม เพื่อไม่ให้ตัวเองพลาดแบบเดิมอีก
6. ใจดีกับคนอื่นและตัวเอง
ทุกคนเคยได้ยินชื่อ Marcus Aurelius กันไหม?
Marcus Aurelius เป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันที่มีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะ “กษัตริย์นักปรัชญา” อีกทั้งยังมีแนวคิดการใช้ชีวิตแบบ Stoicism ซึ่งเป็นปรัชญาที่สอนให้ผู้คนอดทนอดกลั้นต่อความยากลำบาก หรือพูดง่ายๆ ก็คือช่วยให้เราโอบรับและยินดีให้กับสิ่งที่เลวร้ายของชีวิตนั่นเอง
1
โดยบทเรียนหนึ่งที่ Marcus Aurelius ได้ให้ไว้ก็คือ “จงเป็นคนที่ดีในขณะที่ยังสามารถทำได้” กล่าวคือ ในแต่ละวันเราต้องเจอกับผู้คนมากมาย ตั้งแต่เพื่อนร่วมงานนิสัยไม่ดี ลูกค้าเจ้าปัญหา หรือหัวหน้าเจ้าอารมณ์
เมื่อเจอกับผู้คนลักษณะนี้ บางคนอาจปรี๊ดแตกขึ้นมาทันที แต่ทางที่ดีเรานิ่งไว้และปล่อยผ่านเรื่องราวเหล่านั้นไปดีกว่า เพราะไม่เช่นนั้นมันจะทำให้วันดีๆ ของเรากลายเป็นวันแย่ๆ ไปเสียเปล่าๆ
นอกจากนี้แล้วเราก็ควรหยิบยื่นความใจดีให้กับคนอื่นบ้าง เช่น เปิดประตูให้ ซื้อขนมมาฝาก และชื่นชมอีกฝ่ายบ้าง สิ่งเหล่านี้จะทำให้โลกของเราน่าอยู่ไปอีกขั้น เหมือนดังที่คุณหมอกฤตไทกล่าวไว้ว่า “ชีวิตไม่แน่นอน สุดท้ายเราทุกคนก็ต้องตาย จงอยู่กับปัจจุบัน ใช้แต่ละวันให้เหมือนวันสุดท้าย ถ้ามีอะไรที่ทำเพื่อคนอื่นได้ ก็แบ่งปันความโชคดีให้เขาบ้าง”
และที่สำคัญคืออย่าลืมใจดีกับตัวเองเยอะๆ เพราะคนที่เราควรแคร์เป็นอันดับต้นๆ ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นตัวเราเอง อาจจะลองออกไปหาอะไรสนุกๆ ทำ ทานอาหารที่ชอบ พบปะสังสรรค์กับผู้คนดีๆ และก็อย่าต่อว่าตัวเองเยอะเมื่อทำอะไรผิดพลาดไป
สุดท้ายนี้อยากจะบอกทุกคนว่า เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า เพราะฉะนั้นจงอยู่กับปัจจุบันและทำวันนี้ให้ดีที่สุด อยากทำอะไรก็ให้รีบทำตั้งแต่วันนี้ อย่าผัดวันประกันพรุ่งจนรู้ตัวอีกทีก็สายเกินไป อาจเป็นคำแนะนำที่ดูเชยไปบ้าง แต่มันจะทำให้ในวันข้างหน้าเมื่อเรามองหันกลับมาแล้วไม่เจอกับความเสียดายและเสียใจอย่างแน่นอน
อ้างอิง
- 7 WAYS TO LIVE EVERY DAY LIKE IT WAS THE LAST : David Love, The Strive - https://bit.ly/3tfyiH7
- How to Live Life to the Fullest and Enjoy Each Day : Anna Yuen-Ting Chui, Lifehack - https://bit.ly/4a6QV0B
#inspiration
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
โฆษณา