20 ธ.ค. 2023 เวลา 14:06 • ปรัชญา

นี่แหละ สิ่งที่พาไปพบศาสนาอันบริสุทธิ์..พามาถึงตรงนี้ ..ขอให้จุติ จุตังอรหันต์จุติ เกิดจากจิต..

จิตของข้าพเจ้า อาศัยอยู่ในเรือนกายของคุณบิดามารดา ข้าพเจ้าได้นำจิตทั้งสองของคุณบิดามารดา มาน้อมนำถวายกองสังฆทาน ปัจจัยสี่ ภัตตาหารมิตตาหาร กับวัตถุธาตุเหล่านี้ ต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ข้าพเจ้าขอมอบเมน ประเคนขาดไว้ในศาสนา บำรุงศาสนาขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมด้วยกายวาจาใจ ..ข้าพเจ้าขอให้กายบิดามารดาอนุโมทนา ..
ส่วนบุญกุศลในครั้งนี้นี้ ข้าพเจ้าขอพระธรรมคำสั่งสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า อุทิศแผ่รอบครอบจักรวาล วิมานพรหมยมโลก อุทิศแก่คุณบิดามารดา ผู้อุปการะอุปถัมภ์ เจ้ากรรมนายเวร อุทิศต่อเจ้าที่ เจ้าของสถานที่ เจ้าของกุฏิ ..จิตทุกดวงที่สถิตย์สถานที่นี้และนามธรรม จิตทุกดวงและนามธรรมที่มาร่วมอนุโมทนา แล้วอุทิศลงสู่หม้อนรกด้วย
ข้าพเจ้าปรารถนาของบรรลุพระธรรมคำสั่งสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมด้วยกายวาจาใจ ด้วยมรรค ๔ ผล ๔ พระนิพพาน ๑
ข้าพเจ้าปรารถนาให้จิตข้าพเจ้า มีสติสัมปชัญญะรู้จักกรรม มีสติสัมปชัญญะรู้จักธรรม เพื่อสร้างบุญกุศลบารมี หนีเวรกรรม ไปทุกภพทุกชาติ
ขอให้จิตของข้าพเจ้าเจริญด้วยเหตุผลในพระธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้จิตของข้าพเจ้ามีสติสัมปชัญญะมีสติปัญญา น้อมนำมาประพฤติปฏิบัติธรรม ตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยมรรค๔ผล๔พระนิพพาน ๑
ขอให้จิตของข้าพเจ้า เกิดมาทุกภพทุกชาติ ให้ได้เกิดมีกายเป็นมนุษย์ครบอาการสามสิบสอง ให้จิตของข้าพเจ้า มีความกตัญญูรู้คุณ ให้จิตของข้าพเจ้าได้พบ .ธรรมโลกุตระ เพื่อสร้างบุญกุศลบารมี หนีเวรกรรมไปทุกภพทุกชาติเทอญ สาธุ พุทธัง วันทามิ สาธุ ธัมมัง วันทามิ สาธุ สังฆังวันทามิ
..เมื่อได้ถวายกองสังฆทานเรียบร้อย ต่อไป ก็นั่งพับเพียบ ยืดกายตรงๆ บอกตัวเอง ว่า ต่อไปนี้ เราจะไม่ขยับเขยื้อนไปไหน จะนั่งนิ่ง จิตเฉย ..วางมือซ้ายลงไปที่เหนือสะดือ.พูดว่า มารดา วางมือขวาลงไปทับมือซ้าย ทำกายนิ่งแข็งๆ มือให้แข็งเหยียดตรงตึงแน่น ..หายใจลึกๆ สำรวจตรวจสอบตัวเอง กายนิ่งจิตเฉย ..หลับตาลง .กายนิ่ง .เหมือนเสา ..ต่อไปนี้ เราจะเอาวิญญาณหูมาฟังธรรม..
…วันนี้เป็นวันพิเศษ ที่มาพร้อมหน้าพร้อมตากัน หลายภพหลายชาติ หลายลักษณะ ก็เป็นเนื้อนาบุญอันประเสริฐ ที่จะเกิดขึ้น ให้ประจักษ์ เป็นวันที่ ..ไม่ได้มาแสดงเรื่องราวต่างๆให้ประจักษ์เท่านั้น แต่มาแสดงเรื่องราวของ ..ธรรมที่มาจาก..สามโลกจักรวาล..มาพร้อมเพียงกัน ที่ร่วมอนุโมทนา จึงมีสิ่งที่เราไม่เคยได้ รับฟัง ก็จะได้รับฟังต่อไป..
..ท้าวสักกะเทวราช ขออาราธนา ….ขออนุญาต เปิด ..ธรรมจักร และ ศูนย์ธรรม…อาราธนา.. (ปร)
..นะโม คะธา นะโม คะเท สีกะตะ นะโม พันตา รัตติเต สัมมา นัตตา รัตติกะ รัตถะ นะเต เต สันโธ อัพปะริกา รัตเต เอเตรัตธะรา คะริยะโต รัตธิ จัน เต ติ ..
การได้สร้างบุญ สร้างกุศล ที่จะระลึกถึงคุณ จิตที่อาศัย..ในเรือนกาย จึงมาประกอบกรรมดีให้บังเกิดขึ้น กรรมดีนั้นย่อม ตัดขาดจากเรื่องราวของโลก กรรมดีนั่น..ไม่ยึดติดในสิ่งที่เคยยึดติด อยู่ภายในจิตใจของเรา ปลดปล่อยวางไว้ทุกสิ่งทุกอย่าง นั่นคือกรรมดีของจิต
..การที่ได้นำธาตุทั้งสอง ที่จิตนี้ได้อาศัยอยู่ ก็ทำให้จิตดวงนั่น จะได้ระลึกถึงความกตัญญูรู้คุณ ว่า เราจะไปอยู่ในเรือนกายใดก็ดี ก็จะมีความกตัญญูในเรือนกายนั่นๆ ทำให้จิตนั่น ได้มาการเสียสละ ปัดกวาดเรื่องราวของกายวาจาใจ ให้สะอาดสะอ้าน ทำให้ขันธ์ทั้งห้า วิญญาณทั้งหก ให้มีความสะอาดสะอ้าน
.. เหมือนกระจกที่ขัดถู ให้สะอาดสะอ้าน ขัดเกลาเสียให้ดี กระจกนั้นก็เป็นกระจก ที่ใสสะอาด เหมือนกับทางโลกที่ว่า ได้เจียระไน ให้เป็นกระจกที่ใสสะอาดสะอ้าน ไม่มีสิ่งใดมา จับต้องได้ ไม่มีกรรมใดมาจับต้องได้ เพราะจิตนั้นได้ปล่อยวาง สลัดแล้วเรื่องของทางโลก ที่ปรากฏอยู่ ภายใจจิตในใจของเรา วันหนึ่งในวันข้างหน้าก็จะมีการปลดเปลื้องเรื่องราวของวัตถุ ที่เป็นมีชีวิตก็ดี แล้วไม่มีชีวิตก็ดี ถือว่าเป็นวัตถุทั้งนั้น
แม้แต่กายมนุษย์ จะเรียกเป็นวัตถุก็ได้ เพราะมันย่อมสลาย เปลี่ยนแปลงไป วัตถุต่างๆก็ เหมือนกัน จะเป็นเหล็ก เป็นอะไร ก็ย่อมผุกร่อนไป ก็ย่อมสลายไปเหมือนกัน ฉะนั้น..ไม่มีอะไรที่จะยั่งยืนที่จิตจะอาศัยอยู่ได้ แม้แต่จิตดวงนั่น ถ้าทำดี ทำชอบ สร้างบุญ สร้างกุศล ได้เกิดความดีไปอยู่ในสถานที่ ที่มีความสุข อยู่เป็นเทพยดา อินทร์พรหม ก็แล้วแต่ ย่อมเสื่อมสลายเหมือนกัน เมื่อบุญ..ถึงเวลาบุญจนหมดสิ้น ก็ต้องมาเกิด สร้างบุญสร้างบารมีกันใหม่ ไม่มีการจนสิ้น แต่ก็ระลึกอะไรไม่ได้
ไม่เหมือนกายมนุษย์ กายมนุษย์ผู้ใด จิตผู้ใดที่เกิดมาอยู่ในสังขารที่มีกายมนุษย์ครบอาการสามสิบสอง สามารถรู้จักสิ่งที่ ที่ดีและชั่วได้ หรือ ว่ากรรมดี กรรมชั่ว บาปหรือ ธรรม ที่สามารถเสาะแสวงหาได้ ที่จะปลดเปลื้องเรื่องราว ของจิต ที่ไปยึดอยู่ ..วันหนึ่งข้างหน้าจะปลดเปลื้องเรื่องราว ของกรรมต่าง ที่มาติดอยู่ในจิต เหมือนกับองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลายๆพระองค์ ที่ไปแล้วไม่กลับมา ..คือ เข้าพระนิพพาน
จิตทุกดวงที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ รู้จักทำความดีให้แก่จิต รู้จักคำว่า บิดามารดา รู้จักบิดามารดาภายนอกที่ ..หูตาจมูกลิ้นเราเห็นเท่านั้น แต่บิดามารดา..ที่แท้จริงของเรา ต้องอยู่ที่..จิตไปดูที่ธาตุทั้งสอง ที่จิตอาศัยอยู่ นั่นเรียกว่า บิดามารดาที่แท้จริง ก็จะมีการแสดงความกตัญญูรู้จริง สิ่งธรรม ได้จริง ความที่จิตได้เห็นธาตุทั้งสองมีความสำคัญ แก่จิตทุกครั้งที่เกิด
แต่นี่เกิดมาเป็นมนุษย์แท้ๆ ก็ยังไม่สามารถจะรู้ว่า จิตทั้งสองมีความสำคัญให้แก่จิตอย่างไร ที่เรียกว่า คุณบิดามารดา แต่กลับไปเรียก บิดามารดา..ที่มีตัวมีตน ประจักษ์อยู่ในทางโลกเท่านั้น แต่ทางในของจิต ไม่สามารถที่จะระลึกนึกถึงไป ในธาตุทั้งสองได้
.เมื่อผู้ใดไม่มีตัวยึดถือในวัตถุธาตุต่างๆ ทั้งทางที่มีชีวิตนี้ ไม่มีชีวิตก็แล้วแต่ ปลดเปลื้องเรื่องราวต่างได้ สิ่งนั้นก็..ไม่มีภายในจิตในใจของเรา ก็จะเห็นว่า ธาตุทั้งสองเป็นประโยชน์ให้แก่จิต แล้วธาตุทั้งที่จะเรียกว่าบิดามารดา ที่เป็นประโยชน์ให้แก่จิต ธาตุทั้งสองเป็นอะไรอยู่ที่ไหน เมื่อรู้จักแล้ว..จิตดวงนั้นก็จะมีการ..ขวนขวาย ที่จะไปอยู่..กับธาตุทั้งสองเรียกว่าคุณบิดามารดา ทุกครั้งที่จิตเกิด
แต่นี่จิตไม่รู้จัก ธาตทั้งสองบิดามารดา ก็อาศัยอยู่ไปวันหนึ่งคืนหนึ่ง จึงต้องเกิดเป็นสัตว์ เป็นเปรต เป็นอสุรกายเรื่อยมาถึงปัจจุบัน แม้แต่เป็นเทพยดา ก็เหมือนกัน การที่เรียนไม่ถึง เพราะการที่มีตัวยึดอยู่ จะยึดในทางที่ดีก็มี แต่ไม่มี ..สิ่งที่ไม่ดี จะยึดกันเสียส่วนใหญ่ เห็นว่ามีความสำคัญ ต่ออารมณ์กับกาย แต่จิตเค้าไม่รู้เรื่อง
ถามว่าจิตรู้เรื่องมั้ย ..ไม่รู้เรื่อง จิตเป็นผู้เก็บดีและชั่ว ฝากไว้กับแม่ทั้งสี่ดินห้าอากาศกันเอง ฉะนั้นเรามาศึกษาเรื่องราวต่างๆ ที่ดีแล้ว ที่ได้ปรากฏขึ้นมา คือ รอยทั้งสี่ที่ฝากไว้ กับดินห้าอากาศ ก็นำมาประพฤติปฏิบัติธรรม
.. แต่มนุษย์ที่กระทำไม่เข้าใจ ในเรื่องรอยทั้งสี่ที่ฝากไว้กับดินฟ้าอากาศ ที่ได้มากระทำกัน นำไปเป็นเรื่องราว หากิน หาอยู่ หาความสุขให้แก่อารมณ์รัดจิต และกายเท่านั้น แต่จิตไม่ได้อะไรจากตรงนั้น แต่ก็ได้มาเป็นเศษเล็กๆน้อยๆ เป็นแค่พยุงให้เกิดเป็นเทพเป็นเทวดา หรือ ว่าอยู่ปัจจุบันได้มีกายเป็นบุญ หากินหาอยู่ไปวันหนึ่งคืนหนึ่งเท่านั้น
แต่จะปลดเปลี้ยงเรื่องราวจะหยุด ..หยุดแทนการเกิด หยุดไม่ได้ ต้องเกิดมา..เกิดมาใช้กันอีก ไม่มีวันจบสิ้น อยากจะจบสิ้น ..หมั้นผลักไสสิ่งเรายึดอยู่นั้น ค่อยๆออกห่างจากจิตใจเราไปทีละเล็กทีละน้อย เหมือนกับที่ได้มาสร้างบุญกุศล หรือ เสียสละทรัพย์สินเงินทองที่หามาด้วยความยากลำบาก ก็มาสร้างเป็นบุญกุศล เพื่อสละสิ่งนั้นๆ ออกจากจิตที่ยึดติดอยู่เป็นนิจสิน ก็ได้ออกมาเป็นเล็กๆน้อยๆ จะเป็นบุญบำรุง บำรุงไปถึง ..น้ำเลือดน้ำหนอง ที่เลี้ยงสังขารให้มีความสุข และเป็นตัวตนของมนุษย์เท่านั้น
..แต่ผู้ใดที่รู้จักเรื่อง..ทำแล้ว ได้มีสังขารเป็นมนุษย์ จิตดวงนั้นได้เคยสะสมมาอดีตชาติ ก็นำสังขารนั้นมาปลดเปลื้องเรื่องราวของอารมณ์กรรม ตัวกระทำขึ้น ก็เป็นส่วนหนึ่งดีขึ้นๆ ไปทุกวันๆ คำว่าทุกวัน คือ ทุกชาติๆ
ชาติหนึ่งก็ต้องปลดเปลื้องเรื่องนี้ ถึงในที่สุด เมื่อถึงเวลานั้น ศาสนาได้เกิดขึ้นมาเมื่อไหร่ เปลี่ยนจากศาสนาองค์พระสิทธัตถะ เปลี่ยนไปอีก ก็จะประจักษ์ขึ้นภายในจิตของเรา ในที่สุดเราก็จะเป็นผู้ที่เดินตามรอย เข้าแดนแห่งพระนิพพานกันเหมือนกัน
ตั้งใจตั้งใจการฟัง ประพฤติปฏิบัติ ..เราปล่อยวางไม่ได้ ..ก็โดยใช้วิธีการทำบุญทำทาน ไปเรื่อยๆ เป็นนิจสิน ต่อไปวันหนึ่งๆ หรือ วันไหนเวลาไหน ก็ไม่ต้องกิน ไม่ต้องนอน ไม่ต้องไปยึดทรัพย์สินเงินทองไม่มีความสำคัญ บ้านช่องไม่มีความสำคัญ เดืนหนีไปอยู่กับดินฟ้าอากาศ ที่ไปศึกษาดินฟ้าอากาศ หนาวบ้าง ร้อนบ้าง น้ำท่าอะไรต่างๆ แล้วการหลับนอน อยู่ท่ามกลางดินฟ้าอากาศ นั้นคือ การปลดเปลื้องเรื่องราวของตัวยึดนั้นเอง
เพราะที่ยึดอยู่ ยังยึดหมอน ยึดที่ห่ม หรือ ที่นอน ยึดการกินการอยู่ มันก็ต้องเกิดๆตายๆ อย่างนี้ เพราะยังไม่มีบุญ ไม่มีธาตุเป็นธาตุของธรรมนั่นเอง
วันหนึ่งอาจจะมีธาตของธรรมเกิดขึ้น จิตนั่นก็มีความสว่างไสวแห่งการปลดเปลื้องเรื่องราวของการยึด โลภโกรธหลงก็จะหมดไป ..ทำอย่างไรถึงจะหมดได้ จิตของเราน้อยเหมือนกับไส้เทียน เกิดมาพยายามเก็บเทียนของเราไส้เทียนของเรา พยายามไปหาส่องแสงสว่าง ..
..ไปหาเรื่องราว..สิ่งที่ไม่น่าจะไปหา ไปให้เค้าจุดไส้เทียนของตัวเอง ที่มีความโลภโกรธหลง ไปหาสถานที่นั้นๆ เค้าก็เอาไม้ขีด หรือ เอาแสงไฟ ที่มาจุดไส้เทียนนั้น เราก็มองอยู่กับไอ้โลภโกรธหลงอยู่ตรงนั้น เราก็จมอยู่กับกรรม กรรมนั้นเกิดจาก..นรกบ้าง ทั้งสี่ภพสี่ชาติอะไรต่างๆ ที่จะต้องลงไปอยู่ในสิ่งนั้นเกิดขึ้น หมุนเวียนไป เป็นมนุษย์บ้าง เป็นสัตว์บ้าง เป็นเปรตอสุรกาย แล้ว ก็ลงไปนรก แล้วก็เป็นเทพยดาอินทร์พรหม แล้วแต่ถึงเวลานั้น
ถ้าเรารู้ว่าแสงสว่าง ไม้ขีดที่ไหนเค้าดี ไม้ขีดที่ดีก็คือ ไม้ขีดของธรรม เราเอาเทียนของเรา เอาไส้เทียนของเรา เอาไม้ขีดของธรรม ถามว่าที่ไหนเค้ามีบ้าง ยิ่งไม้ขีด..ธรรมโลกุตระ..มาขีดติดอยู่ที่ไส้เทียนเรา ไส้เทียนเราก็จะสว่างไสว มองเห็นเรื่องราวต่างๆของโลภโกรธหลง วันนี้ได้มองแค่นี้ วันหน้าค่อยๆมอง ละเอียดขึ้นๆ ในที่สุดเราก็ยุติ แห่งโลภโกรธหลงได้ ความอวดดี ถือดี เห็นตัวเองดีแล้ว ก็หมดเรื่องราวของเวลาที่จะใช้
การที่มาแสดงธรรม ในวันนี้ ก็ให้ประจักษ์ว่า ทุกคนรู้จัก.. ศาสนา รู้จักรอยทั้งสี่ที่ฝากไว้ กับดินฟ้าอากาศ การกระทำต่างๆ ต้องสะสมเป็นอเนกชาติ สะสมมาเป็นสี่อสงไขยชาติ ถึงจะได้รู้จักคำว่า นี่หรือ เกิด..แล้วต้องทุกข์ ต้องลำบาก ถ้าเดินหนี ..ความทุกข์ความลำบาก
สิ่งทั้งหลายที่กินที่นอนอยู่ ทำให้เรามีทุกข์ มีความลำบาก เพราะเราต้องกระตือรือร้น ไปหาสิ่งเหล่านั้นมาปรนเปรอ อารมณ์กับกาย แล้วเราก็ไม่รู้จักอารมณ์ ไม่รู้จักกาย คิดว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่อันประเสริฐ เกิดมาต้องมีอย่างนี้ๆ ก็พากันไปหลงไหล เหมือนกับแมลงที่ เห็นไฟ แล้วก็บินเข้าไปในกองไฟ แล้วก็ตกตายกันเป็นทิวแถว หมดเรี่ยวหมดแรงไป นั่น หลงมายาแห่งแสง แสงที่หลอกลวงโดยมายาต่างๆที่เกิดขึ้น
แม้แต่ทรัพย์สินเงินทองที่ไขว่คว้าหามา หามาเพื่อประทังสังขาร นอนก็นอนเพื่อประทังสังขาร กินก็เพื่อประทังสังขาร ..
..กินเพื่อความโลภโกรธหลง นอนเพื่อความโลภโกรธหลง ..แล้วเมื่อไหร่เราจะยุติการเกิด
..หมั่นพิจารณา นำรอยทั้งสี่ที่อยู่กับดินฟ้าอากาศไปประพฤติปฏิบัติให้ได้
นี่แหละคือสิ่งที่ไปพบศาสนา..ที่อันบริสุทธิ์เกิดขึ้น พามาถึงตรงนี้ ..ขอให้จุติ จุตังอรหันต์จุติ เกิดจากจิต ..ศรีอริยะ จิตตะระนันเต วะพุทะวาโร นะโมธัมมัต รัตถะ ระถะระเนเต รากะริยาโต มันติยาโต อะเต เต นะเธ ขอให้แสง ดวงจิตที่เกิดขึ้น ให้นึกไปถึงธรรมโลกุตระ จงมาเกิด ..จิตทุกดวง และนามธรรม ในสถานที่นี้ เมื่อรับแสง ..รับเรื่องราวต่างๆ ให้มีจิตตัดอกตัดใจ ไปการทิ้งเรื่องราวของกรรม ไปสู่ดินแดนที่จะเกิดขึ้น ในอีก 20 กว่าวันที่จะเกิดนี้ (2000ปีข้างหน้า)
..ตัพพาวะสัง ศรีริยะ ติยะโต โพธิกา แสงธรรมจักร ส่องกาละนันเต รัตถะวาโร อัตธัมมัง รัตติยาโต อัพปา แสงสี รัตนะ กิติยาโต โหตุ
..ข้าพเจ้าของข้าพเจ้า อาศัยอยู่ในธาตุทั้งสองของคุณบิดามารดา ข้าพเจ้าขอนอบน้อมสักการะบูชาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมด้วยกายวาจาใจ
พุทธังวัทามิ ธัมมังวันทามิ สังฆังวันทามิ
..และขอนอบน้อมสักการะบูชา องค์ท้าวสักกะเทวราช ที่หนุนนำ อาราธนา ..พระ ..แสดงธรรมในกาลครั้งนี้ สาธุ สาธุ สาธุ
โฆษณา