25 ธ.ค. 2023 เวลา 08:53 • หนังสือ

ถอดบทเรียนจาก “ The psychology of money “ ตอนที่ 1

สวัสดีทุกๆท่านกันด้วยนะครับ วันนี้ผมจะมาแบ่งปันบทเรียนต่างๆ ที่ผมได้จากหนังสือที่มีชื่อว่า “The psychology of money” กันนะครับ
สิ่งแรกที่ผมจะบอกทุกท่าน ก็คือ การจัดการกับเงิน ในหนังสือเล่มนี้ ไม่ได้ว่าด้วยหลักการที่ต้องใช้ความรู้ทางการเงิน หรืออะไรแบบนั้นเลยทั้งสิ้นนะครับ ขอให้ท่านที่มีความรู้ทางการเงิน การลงทุน อันซับซ้อนเหล่านั้น หยิบมันออกไปวางไว้ที่ไหนก็ได้ก่อนนะครับ แล้วเราจะมาคุยกันต่อ ถึงบทเรียนที่ได้จากหนังสือเล่มนี้ ซึ่งเป็นบทเรียนที่ basic กว่านั้น อย่างคาดไม่ถึงเลยล่ะครับ
สำหรับ Ep.แรก ผมขอสรุปบทเรียนที่ได้ออกเป็น 3 หัวข้อนะครับ เอาล่ะ เรามาเริ่มกันที่หัวข้อแรกเลยครับ
1.) ความโชคดี และ ความโชคร้าย
โอเคครับ หลายๆท่านคงจะสงสัยกันว่า แล้วมันเกี่ยวกับเงินยังไงล่ะ? คือ บางครั้งครับ หรืออาจจะหลายๆครั้งในชีวิตเลย ที่ผลลัพธ์ที่เราคาดหวัง มันไม่เป็นไปตามคาด ซึ่งตัวท่านเอง ก็พยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่ผลลัพธ์ก็ยังออกมาแย่ เนื่องมาจากอิทธิพลของปัจจัยภายนอก มันส่งผลกระทบมากกว่า ปัจจัยที่เกิดจากตัวท่านยังไงล่ะครับ
ถ้าหากจะให้ผมยกตัวอย่าง ผมขอสมมติเรื่องราวขึ้นมาเรื่องหนึ่ง เอาแบบเข้าใจง่ายๆ ซึ่งเรื่องก็มีอยู่ว่า นาย A ทำการลงทุนกับหุ้นตัวหนึ่ง ซึ่งนาย A ก็ทำการศึกษาทุกอย่างเกี่ยวกับหุ้นตัวนี้อย่างจริงจังแล้ว ว่าเหมาะสมที่จะทำการลงทุนในระยะยาว และนาย A ก็ยังศึกษาหุ้นที่จะทำการลงทุนอีกหลายตัว ซึ่งหุ้นเหล่านั้น เป็นหุ้นของบริษัทที่กำลังเติบโตไปในทางที่ดีอย่างมาก ถ้าหากพิจารณาตามดุลยพินิจของนาย A แล้ว มันก็เหมาะแก่การลงทุนอย่างยิ่งเลยทีเดียว
แต่ปรากฏว่าในช่วงๆหนึ่ง ก็เกิด วิกฤตการณ์การเงิน ( The Great Depression ) ซึ่งส่งผลกระทบไปทั่วโลก เป็นเหตุให้การลงทุนของนาย A ต้องจบลง โดยที่ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เลย
ในขณะที่ นาย B ซึ่งเกิดในอีกยุคสมัยหนึ่ง ที่เศรษฐกิจดีมากๆ นาย B ซึ่งวางแผนลงทุนคล้ายคลึงกับของนาย A แต่กลับทำเงินจากการลงทุนระยะยาวได้มาก ผลตอบแทนที่ได้รับมีมูลค่าสูงตามคาด ตามที่ผมได้ยกตัวอย่างครับ ว่าบางครั้ง ปัจจัยภายนอก ก็ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวง ต่อชีวิตเรา มากกว่าปัจจัยภายในเสียอีก ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ เราทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ยอมรับ และก็วางแผนเอาตัวรอดในสถานการณ์วิกฤตกันไปครับ
ถ้าให้พูดสรุป ก็คือ นาย B นั้นเป็นบุคคลที่ถือว่าโชคดี ที่ดันเกิดและโต ในยุคที่เศรษฐกิจรุ่งเรือง ในทางตรงกันข้าม นาย A ที่มีแผนการลงทุนที่ดีเช่นกัน แต่โชคร้ายที่เกิด และโตในช่วงของ วิกฤตเศรษฐกิจ
2.) การไม่รู้จักพอ
เคยมีคำกล่าวว่า “ The only way to know how much food you can eat is to eat until you’re sick “ ซึ่งแปลได้ว่า ” ทางเดียวที่คุณจะรู้ว่าคุณกินอาหารได้เยอะแค่ไหน ก็คือกินมันจนอ้วกไปเลย “ ใช่ครับ และประโยคนี้บอกอะไรกับเรา? หลายคนไม่เจ็บไม่จำครับ ผมขอยกตัวอย่างให้ชัดเจนกับในเรื่องของการพนันนะครับ เพราะประโยคนี้ใช้อธิบายเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้เล่นพนันได้ชัดเจนมาก
ท่านเคยสงสัยไหมครับ ว่าทำไมการพนันถึงทำให้คนเสพติดมันได้? ผมก็ไม่เคยเล่นการพนันหรอกนะครับ แต่ถ้าให้ผมสังเกตจากคนรอบตัว เท่าที่เคยเห็นมา คือมันได้เงินง่าย และได้เยอะ ( ในช่วงแรกๆ ) ซึ่งพอมันได้เยอะ ครั้งต่อไปก็ได้อีก แต่อาจจะมีเสียบ้าง แต่ยังไม่เสียมากเท่าไหร่ ก็เลยมีความรู้สึกว่า มันน่าจะยังไปต่อได้อีก แล้วเราจะได้เงินมากขึ้นเรื่อยๆ
จุดที่ทำให้บางคนถึงกับเลิกเล่นการพนัน ก็คือครั้งที่เสียเยอะมากที่สุด เสียจนเข็ด หลาบจำ ไม่กล้าจะเล่นต่อแล้ว ขอย้ำว่า ( บางคน ) นะครับ เพราะหลายคนก็ยังกล้าเสียต่อ เพราะหวังว่าจะมีครั้งที่ได้อีก
ซึ่งถ้าให้ผมเปรียบเทียบกับประโยคที่ผมเกริ่นไว้ ข้างต้นของบทเรียนข้อนี้ก็คือ การที่คุณกินได้เรื่อยๆ ก็หมายความได้ว่าคุณยังไม่เจอจุดอิ่มตัว ที่ทำให้คุณต้องหยุดกิน ก็เหมือนกับตอนแรกๆที่คุณเริ่มเล่นการพนัน และมีแต่ได้กับได้ แต่ จุดที่คุณกินจนอ้วกออกมา จุดนั้น คุณจะไม่กินต่อแล้วแน่ๆ เป็นจุดที่สร้างความเจ็บปวดให้กับคุณแล้ว ซึ่งก็เปรียบได้กับจุดที่คุณสูญเสียเงินไปกับการพนันมากที่สุด
ในโลกนี้ มีเรื่องที่เราเห็นได้ชัดอย่างหนึ่ง คือ พอเราได้เงินมาจำนวนหนึ่งแล้ว ซึ่งเป็นจำนวนที่ ถ้าหากพิจารณาแล้ว ก็ถือว่าเยอะจนน่าพอใจ แต่ถ้าหากความอยากได้อยากมี มันไม่หยุดอยู่แค่นั้น หลายคน ถึงกับเสียเงินที่มีอยู่ไป อย่างมากมาย
ผมไม่ได้หมายความว่า ถ้าคุณมีเงินเยอะแล้ว คุณจะหามันเพิ่มอีกไม่ได้นะครับ ไม่ใช่แบบนั้นเลยครับ แต่โดยส่วนมากแล้วน่ะครับ กรณีที่หนังสือเล่มนี้กล่าวถึง คือความทะเยอทะยานอยากในเงิน ที่มากขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งจุดนี้ ทำให้อารมณ์ของพวกเขาเหล่านั้น ที่หลงในมูลค่าของเงิน หาหนทางที่จะทำเงินได้มากๆ ถ้าให้พูดกันตรงๆ ในโลกนี้ อะไรที่ได้มามากๆ มากจนเกินจริง มันมีข้อแลกเปลี่ยนกันอยู่ครับ คือ ถ้าถึงคราวต้องเสีย มันก็เสีย จนทำให้ชีวิตคุณชิบหายได้เลยเช่นกันครับ
จงพอใจกับสิ่งที่คุณมีครับ แต่อย่าพอใจกับสิ่งที่ไม่ควรจะเป็น เช่น ถ้าคุณพิจารณาแล้ว เงินก้อนนี้ ที่คุณมีอยู่ ยังไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต อันนี้ไม่ได้ถือว่าคุณไม่รู้จักพอเลยครับ แต่มันยังไม่พอจริงๆ ก็แสวงหาแหล่งรายได้เพิ่มเติม เพื่อให้เงินมันเพียงพอที่จะดำรงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพได้ อย่ากังวลไปครับ อย่างที่ผมได้กล่าวไป คำว่าไม่รู้จักพอที่ผมพูดถึง คืออารมณ์ของคนที่หลงในมูลค่าของเงิน อยากมี อยากได้ มากขึ้นเรื่อยๆ อยากได้ทีละเยอะๆ อะไรแบบนี้ครับ
3.) ไม่สำคัญว่าคุณเป็นใคร
ครับ ที่หนังสือเล่มนี่้บอกผม คือ ต่อให้คุณจะเป็นมหาเศรษฐีก็ตามที แต่ถ้าหากวันนึง คุณใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย โดยความคิดที่ว่า คุณมีมันมหาศาล คุณจะซื้ออะไรก็ได้บนโลกใบนี้ ความคิดแบบนี้ สามารถทำให้มหาเศรษฐีคนนึง กลายเป็นยาจกได้เลยเหมือนกันครับ
“เงิน” เป็นคำสั้นๆ แต่มีความหมายลึกซึ้งกับชีวิตของพวกเรามาก เป็นตัวกำหนดความอิ่มของท้อง สถานะทางสังคม และความสะดวกสบายของชีวิต จะว่าอย่างงั้นเลยก็ได้ นี่คือความจริง เงิน เป็นสิ่งที่คุณไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้มากมายในการจัดการกับมัน ขอแค่คุณพอจะรู้อะไรที่จำเป็นบ้าง และสิ่งสำคัญคือ พฤติกรรมการใช้เงินของคุณ คุณอาจจะต้องห้ามใจคุณสักหน่อย ไม่ให้หลงไปกับคำว่า คุณมีมันเยอะ ซื้ออะไรก็ได้ ไม่หมดหรอก โดยไม่มีการทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายอะไรเลย คุณใช้มันไปตามอารมณ์ รู้ตัวอีกทีมันก็หายไปจากบัญชีคุณเยอะมากๆแล้ว
หัวข้อนี้ แค่อยากจะบอกคุณว่า ระมัดระวังในการใช้เงินครับ อย่าปล่อยให้มีเพียงแค่อารมณ์เป็นตัวที่คอยตัดสินว่าคุณจะซื้ออะไร ให้ใช้ความคิดไตร่ตรอง พินิจพิจารณา มาช่วยยับยั้งอารมณ์ไปด้วย ในระหว่างตัดสินใจ ว่าจะซื้ออะไร แน่นอนว่า เราซื้อของตามอารมณ์กันได้ แต่ต้องแน่ใจว่า มันไม่มากเกินไป จนมีโอกาสที่จะกระทบต่อชีวิตของคุณ
สำหรับ Ep.แรก ก็คงจบแต่เพียงเท่านี้นะครับ ขอขอบคุณทุกๆท่านมากๆครับ ที่แวะเข้ามาอ่านบทความนี้ ทางผมก็หวังว่า ข้อคิดต่างๆที่นำมาแบ่งปัน จะเป็นประโยชน์ ต่อทุกท่านนะครับ ขอบคุณครับ
โฆษณา