ทริปนกแขกเต้าสีเขียวสดใสนับพันตัว กับทุ่งทานตะวันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ที่น่าตื่นตาตื่นใจ

ทราบข่าวคราวเรื่องนกแขกเต้าจากเพื่อนและในสื่อโซเชียลว่า มีนกหลายพันตัว จะบินมาจากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เพื่อมากินเมล็ดทานตะวันที่ไร่มณีศร
และกำลังใกล้จะหมดฤดูกาลที่จะสามารถชมนกแล้ว เพราะเมื่อทุ่งทานตะวันแปลงสุดท้ายหมดลง นกก็จะไม่บินแวะมาให้เราชมอีก กล่าวคือจะมีโอกาสชมนกเพียงปีละครั้งเดียวเท่านั้น
ยังมีโอกาสที่จะมาชมทุ่งทานตะวันพร้อมกับชมนกแขกเต้าจนถึงสิ้นปีนี้เท่านั้น แต่ถ้าจะชมนกอย่างเดียว น่าจะยังสามารถชมไปได้ถึงกลางมกราคม 2567 เพราะนกจะยังคงมากินเมล็ดทานตะวันที่ดอกโรยไปแล้ว
เราเริ่มทริปนี้แบบฉุกละหุก ไม่ได้มีการวางแผนล่วงหน้า โดยที่เน้นการชมนกแขกเต้าเป็นสำคัญ การชมทุ่งดอกทานตะวันเป็นของแถม
โดยมีเวลาในบ่ายวันเสาร์และกลับในวันอาทิตย์ เพราะจะต้องทดสอบคุณไข้ภูมิแพ้ในช่วงเช้าวันเสาร์ให้เสร็จสิ้นเสียก่อน
จึงไม่เน้นเรื่องโรงแรมที่พัก เพราะจะใช้เป็นที่นอนแต่เพียงอย่างเดียวจริงๆ ไม่ได้มีโอกาสใช้โรงแรมในเรื่องอื่นๆ
จึงตัดสินใจเพื่อความสนุก ย้อนรำลึกไปถึงวัยหนุ่มสาว ด้วยการจองเต้นท์ที่พักของซีวิว(แทนการจองห้องพักของโรงแรมที่สดวกสบาย)เนื่องจากอยู่ไม่ห่างจากไร่มณีศรมากนัก ระยะทางขับรถไม่เกิน 10 นาที
ในเบื้องต้นทราบว่าเป็นเต้นท์ที่มีเครื่องปรับอากาศด้วย แต่คงจะไม่ได้ใช้แน่นอน เพราะตรวจสอบอุณหภูมิช่วงกลางคืนอยู่ที่ประมาณ 12-15 องศาเซลเซียส
มีห้องน้ำที่อยู่นอกเต้นท์ แต่เป็นส่วนตัวของแต่ละเต้นท์ ราคา 1000 บาท ถือว่าเหมาะสมกับสภาพที่พัก
เราออกเดินทางจากกรุงเทพในตอนบ่ายประมาณ 2 โมง ใช้เส้นทางปกติผ่านเข้าสู่จังหวัดสระบุรี แล้วใช้ถนนมิตรภาพเข้าสู่อำเภอปากช่อง เลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนธนะรัชต์
ตรงไปที่ไร่มณีศรก่อนเลย ทั้งนี้เพื่อจะทำความคุ้นเคยว่า จะต้องจอดรถตรงไหน แปลงทานตะวันตรงไหนที่ออกดอกสวย แสงตะวันจะมาในทิศทางใด ที่สำคัญคือจะดูนกแขกเต้าได้ตรงไหนที่ใกล้ชิดและเห็นชัดเจน
เพราะที่ทราบมา นกแขกเต้าจะไม่มาที่ทุ่งดอกทานตะวันที่สวยงามเนื่องจากเมล็ดยังไม่แก่พอที่จะกิน
แต่นกจะไปลงแปลงทานตะวันที่ดอกโรยเป็นสีน้ำตาลแล้ว ซึ่งทางไร่ก็มีการบริหารจัดการที่ดี ทยอยลงปลูกต้นทานตะวันเป็นแปลงย่อย (แต่ละแปลงมีขนาดใหญ่มาก) เพื่อให้มีการออกดอกต่อเนื่องกันไปนานนับเดือน นักท่องเที่ยวก็จะสามารถเข้ามาชมได้อย่างต่อเนื่อง
เมื่อไปถึงไร่ในตอนเย็นประมาณ 5 โมงเย็น พบว่าแปลงที่ดอกโรยแล้วจะถึงก่อนแปลงที่ออกดอกสวยงามซึ่งน่าจะมีนกมากินเมล็ดทานตะวันให้เราชมได้นั้น ไม่มีที่จอด เพราะไหล่ทางแคบมาก
เราจึงขับรถเข้าไปจนถึงทางเข้า ซึ่งปกติจะต้องซื้อบัตรคนละ 50 บาท แต่น้องผู้หญิงใจดีมาก เมื่อทราบว่าเรามาสำรวจก่อนล่วงหน้า เพื่อจะมาชมจริงๆในวันรุ่งขึ้น ก็อนุญาตให้เราเข้าไปในบริเวณของสวนโดยไม่ต้องเสียเงินได้
ทราบจากน้องว่า ถ้าจะมาดูนก ให้เดินเข้าไปที่แปลงดอกโรย ซึ่งจะค่อนข้างไกลและเดินลำบาก
แนะนำว่าเวลาที่เหมาะสุดคือ 6 โมงครึ่งตอนเช้า สามารถจอดดูตรงสามแยกก่อนที่จะเข้ามาถึงทางเข้าไร่ได้ ซึ่งเราได้ไปสำรวจในภายหลัง ก็พบว่ามีที่จอดรถ แต่ก็ต้องเดินไกลพอสมควร
1
สุดท้ายเราถามว่า มีเส้นทางในบริเวณของไร่ที่สามารถขับรถไปถึงแปลงดอกโรยได้หรือไม่
น้องใจดีก็บอกว่า จริงด้วย มีเส้นทางที่สามารถขับเข้าไปได้ ซึ่งถ้าน้องไม่แนะนำเรา เราจะไม่ทราบเลย เพราะมองช่องทางเข้าไม่ออกว่าเป็นถนน
เราจึงขออนุญาตน้องขับรถเข้าไปในเส้นทางดังกล่าว จนถึงบริเวณที่ติดกับแปลงทานตะวันโรย
บรรยากาศดีมากๆไม่มีผู้คนเลย ลมพัดมาเอื่อยๆ เย็นสบาย อากาศบริสุทธิ์จริงๆ
วางแผนกันว่า วันรุ่งขึ้นจะตื่นมาให้ทันดูนกตอน 6 โมงครึ่งเช้า เพราะราว 8 โมงครึ่ง นกก็จะบินกลับกันหมด ไม่แน่ใจว่าที่กลับเพราะกลัวแดดร้อน หรือเพราะว่ากินจนอิ่มแล้ว
เราเดินทางต่อมายังที่โรงแรม ซึ่งจองเต้นท์ไว้ เพื่อทำการเช็คอินให้เรียบร้อย เบื้องต้นตรวจดูก็โอเค
แล้วเราก็ขับรถออกมาเพื่อทานอาหารเย็น หลายร้านที่อยู่ใกล้มีคนเต็มหมด
จึงขับต่อไปทานที่ร้าน Ribb Mann บรรยากาศตรงระเบียงภายนอกดีมาก เย็นสบายในระดับอุณหภูมิ 10 กว่าองศา
และยังมีดนตรีสด ที่เล่นเพลงได้ไพเราะอย่างต่อเนื่องหลายชั่วโมงไม่มีการพัก
อาหารค่ำรสชาติดี ค่อยค่อยทานไปเรื่อยเรื่อย ฟังเพลงไปพร้อมกันด้วย รวมทั้งบรรยากาศการตกแต่งที่เป็นใจ เราจึงนั่งอยู่ตรงนี้นานนับหลายชั่วโมง
แล้วจึงขับรถกลับมาที่เต้นท์หมายเลข 7 ซึ่งอยู่ใกล้กับบริเวณที่รถจอดมากที่สุด
เดิมคิดว่าโชคดีมาก ทำให้ไม่ต้องยกกระเป๋าไกล แต่การณ์กลับกลายเป็นว่า ทั้งคืนเราได้ยินเสียงรถวิ่งไปมาตลอด
เท่านั้นยังไม่พอ ยังได้ยินเสียงพลาสติกขนาดใหญ่ที่กั้นด้านหลังเต้นท์ ซึ่งห้อยลงมาจากหลังคา เมื่อลมพัด ก็จะขยับเกิดเสียงครูดกับพื้นซีเมนต์เป็นระยะระยะ สรุปว่าไม่แนะนำให้นอนเต้นท์ของที่นี่ครับ
เพราะนอนหลับไม่สนิท เราเลยตื่นเช้าตีห้าครึ่ง เพราะหลับไม่สนิทอยู่แล้ว
แต่การนอนครั้งนี้ อุ่นสบายมากๆ เพราะได้หอบผ้านวมผืนใหญ่มาด้วยสองผืนพร้อมหมอน (เอามาจากบ้าน)
ถุงเท้า Long Johns ครบเครื่อง ไม่มีหนาว ตามที่ได้มีคนเตือนมาก่อนแล้วว่า นอนเต้นท์ ให้ระวังอากาศที่จะหนาวมาก
ขับรถไป 10 นาที ก็ถึงไร่มณีศร เราแวะตรงสามแยกใกล้แปลงทานตะวันโรย แต่ยังไม่มีนกมาเลย
จึงตัดสินใจขับไปที่ขายบัตรตรงทางเข้า แล้วเข้าไปจอดรถตามปกติ เนื่องจากนกยังไม่มา เราจึงเริ่มทยอยเก็บภาพไร่ทานตะวันแปลงสวยงามไปพลางก่อน
แสงแดดอ่อนโยน อุณหภูมิ สิบองศาเศษๆ ผู้คนน้อยมาก ทำให้การถ่ายภาพมีความสนุก และสะดวกสบาย
เมื่อเราเริ่มเห็นฝูงนก และได้ยินเสียงร้องอยู่ในทิศทางตรงแปลงทานตะวันสวย ก็รีบเร่งเดินฝ่าทุ่งทานตะวันเข้าไป
จนกางเกงมีละอองเกสรสีเหลืองติดเต็มไปหมด เพื่อที่จะเข้าไปถ่ายรูปใกล้ใกล้
ทีแรกก็ยังแปลกใจว่า ทำไมนกถึงลงมากินเมล็ดที่แปลงดอกสวยงาม ไม่ไปกินแปลงดอกโรย
สุดท้ายก็มาได้คำตอบเมื่อเข้าไปใกล้ๆว่า เป็นฝูงนกพิราบและนกเอี้ยงนี่เอง ไม่ใช่นกแขกเต้าแต่อย่างใด
จึงย้อนออกมาขึ้นรถ เพื่อจะขับไปยังแปลงดอกโรย แต่น้องผู้ชายที่ทำหน้าที่วันนี้บอกว่า ไม่มีเส้นทางขับรถ มีแต่ทางเดินไป ที่ค่อนข้างไกล
เราเลยทักออกไปว่า เมื่อวานได้ลองขับไปแล้วตามคำแนะนำของน้องผู้หญิง
น้องผู้ชายจึงร้อง อ๋อ บอกว่านึกออกแล้ว มีทางขับไปได้จริงๆ
โชคดีมาก ที่เรามาศึกษาสำรวจเส้นทางไว้ก่อนตั้งแต่เมื่อวาน ไม่เช่นนั้นก็อาจจะพลาดไม่ได้ขับรถเข้าไปตรงแปลงดอกโรย ซึ่งมีนกแขกเต้าแสนสวยและน่ารักมาก มาให้เราเก็บภาพเป็นจำนวนมาก
เมื่อไปถึงบริเวณแปลงดอกโรยแล้ว(ซึ่งกว้างขวางสุดลูกหูลูกตา)ก็เห็นฝูงใหญ่มากของนกแขกเต้า
ตอนนี้เริ่มมีความชำนาญในการแยกแยะนกแล้ว ด้วยเสียงร้องที่เป็นเอกลักษณ์และค่อนข้างดัง
ตลอดจนเวลาบินวนเป็นวงกลม จะมีครึ่งหนึ่งของวงกลมเป็นสีขาวของท้อง และพอหมุนตัวกลับ ก็จะเห็นอีกครึ่งหนึ่งเป็นสีเขียวของหลังและปีกอย่างชัดเจน
สักครู่ฝูงนกขนาดใหญ่ดังกล่าวก็ร่อนลงสู่แปลงดอกโรยสีน้ำตาล
1
แต่อยู่ห่างจากจุดที่เรายืนอยู่พอสมควร แม้กล้องจะซูมได้มาก ก็ยังไม่เพียงพอต่อภาพที่ต้องการ
เราทราบมาด้วยว่า นกค่อนข้างจะกลัวคน เนื่องจากเป็นนกป่าตามธรรมชาติจากอุทยาน
เราจึงต้องค่อยค่อยเดินแบบระมัดระวังสุดสุด เพื่อไม่ให้นกตื่นตกใจบินหนีไปเสียก่อน
1
โดยต้องเดินแบบก้มตัวให้ศีรษะต่ำอยู่ในระนาบเดียวกับยอดของดอกทานตะวัน ขยับเข้าไปช้าๆ เบาๆ โชคดีที่บริเวณนี้ไม่มีผู้คนเลย จึงมีเวลาพอสมควร ที่ค่อยย่างเท้าในลักษณะคืบคลานเข้าไปเรื่อยเรื่อย
ในที่สุดก็ถึงจุดที่คิดว่าน่าจะใช้ได้ ก็เริ่มเก็บภาพนิ่งอย่างรวดเร็ว เพราะตั้งใจว่าพอถึงจุดที่นกบินขึ้นไปหากินตรงจุดอื่น ก็จะได้ถ่ายภาพเคลื่อนไหว
การเก็บภาพด้วยกล้อง รวมทั้งการชมด้วยตาเปล่าเป็นระยะ เป็นไปด้วยดี มีความสุขมากๆไม่ต้องรีบร้อน เพราะบริเวณนั้นไม่มีผู้คนเลย
ต่อมาภายหลัง มีนักท่องเที่ยวท่าทางจะชำนาญเรื่องกล้อง เพราะแบกกล้องที่มีซูมใหญ่มาก ชนิดที่เรียกว่ากระบอกข้าวหลามหรือปืนบาซูก้า ได้เดินมาด้วยความมานะพยายามจากแปลงดอกสวย ซึ่งต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก
แต่เมื่อมาถึง ถ่ายภาพได้เพียงสักครู่ นกก็ได้บินขึ้นสู่ท้องฟ้าไปทั้งหมด น่าเห็นใจนักท่องเที่ยวรายนี้มาก
ได้แวะเข้าไปพูดคุยและทำความรู้จัก ตลอดจนนำภาพจากกล้องมาแลกเปลี่ยนกันชม ปรากฏว่ากล้องตัวเล็กของผู้เขียน กลับบันทึกภาพที่สวยงามชัดเจนกว่ากล้องใหญ่ เพราะได้ถ่ายในระยะที่ใกล้กว่า
นักท่องเที่ยวท่านดังกล่าวบอกว่า แวะมาชมนกทุกปี นกจะลงเฉพาะแปลงดอกโรยเท่านั้น แต่ไม่ทราบรายละเอียดเรื่องการขับรถเข้ามาถึงบริเวณนี้ได้
บอกว่าถ้าเดินตัดแปลงดอกโรยไปอีกด้านหนึ่ง จะไปถึงถนนตรงบริเวณสามแยก น่าจะเห็นนกแขกเต้าที่หนีจากแปลงนี้ขยับไปตรงนั้นได้
ผู้เขียนจึงเริ่มเดิน มุ่งหน้าไปสู่อีกด้านของแปลงดอกโรย ซึ่งไม่มีเส้นทางเดินเท้าที่ชัดเจน ก็เลยต้องเลี่ยงไปเดินแปลงที่ว่างติดกัน ซึ่งเป็นแปลงเตรียมปลูกมันสำปะหลัง ซึ่งได้ไถพรวนดินไว้เรียบร้อย ทำให้พื้นอ่อน เดินลำบากมาก
แต่อย่างไรก็ตาม ก็น่าจะดีกว่าเดินฝ่าเข้าไปในแปลงดอกทานตะวันโรยที่แน่นขนัดไปหมด ใช้เวลาเดินในแปลงมันสำปะหลังอยู่นานพอสมควร
สุดท้ายก็มาถึงจุดที่พบนกแขกเต้ากำลังก้มหน้าก้มตากินเมล็ดทานตะวันอย่างเอร็ดอร่อยตามที่คาดหมายไว้
ได้เก็บภาพที่สวยงามอีกครั้งหนึ่ง แต่จำนวนนกในครั้งนี้ไม่ได้มากเท่ากับฝูงแรก
ได้ภาพของนกพิราบที่ปะปนอยู่กับนกแขกเต้าซึ่งกำลังจิกกินเมล็ดทานตะวันอยู่ด้วยกัน เป็นภาพที่สวยงามแปลกตาไปอีกรูปแบบหนึ่ง
สักครู่ก็มีนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มหนึ่งเดินจากถนนสามแยกเข้ามายังแปลงดังกล่าวโดยไม่ได้ระมัดระวัง ทำให้ฝูงนกตกใจบินหนีไปหมดทั้งฝูง
จึงทำให้การเก็บภาพของนกแขกเต้าทริปนี้ยุติลงเพียงเท่านี้ แต่ภาพที่ได้มีเพียงพอตามที่ต้องการแล้ว เนื่องจากขณะนี้เวลาประมาณ 8.30 น. นกส่วนใหญ่ทยอยบินกลับไปในป่าใหญ่กันเกือบหมด
ตอนขากลับ พบเส้นทางเดินเท้าเล็กๆ คดเคี้ยวลัดเลาะผ่านแปลงทานตะวันโรย ทำให้สามารถเดินกลับมาที่จอดรถสะดวกกว่าขาไปมากทีเดียว
แล้วเราก็ขับรถผ่านทุ่งดอกโรย มุ่งหน้าสู่ทุ่งดอกสวย เห็นดอกสวยอยู่ลิบลิบ เป็นภาพตัดกันของสองโซนที่งดงามยิ่ง
เมื่อขับรถมาได้ครึ่งทาง มีต้นมะขามขนาดใหญ่ ร่มเงาน่าจะเย็นสบายดี เราจึงจอดรถใต้ต้นมะขาม เปิดประตูรถ ฟังเพลงเบาเบา รับลมเย็นฤดูหนาวของท้องทุ่งเขาใหญ่ รื่นรมย์เป็นอย่างยิ่ง
เมื่ออิ่มกับภาพบรรยากาศท้องทุ่งแล้ว ก็ขยับขับรถมาที่ลานจอดรถ ตอนนี้เริ่มมีนักท่องเที่ยวทยอยกันมาเป็นจำนวนมาก เวลาประมาณ 9 โมงเช้า
อากาศวันนี้เป็นใจมากสำหรับนักท่องเที่ยว แดดไม่แรงเลย อุณหภูมิก็ยอดเยี่ยม ทำให้การเก็บภาพดอกไม้และบรรยากาศของทุ่งทานตะวันเป็นไปด้วยดี แม้จะเป็นเวลาราว 10 โมงเช้าแล้วก็ตาม
หลังจากนั้น เราจึงย้อนกลับมาทานอาหารที่ร้านสวยคือ ร้านหลานยาย กลับมาอาบน้ำที่เต้นท์
แล้วออกเดินทาง โดยแวะซื้อกล้วยทอดเจ้าอร่อย มุ่งหน้าเข้าสู่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ได้แวะอ่างเก็บน้ำที่สวยสดงดงาม ผืนป่ามรดกโลกดงพญาเย็น และที่ตั้งแคมป์ลำตะคอง
ลงจากเขาใหญ่เข้าสู่เส้นทางปราจีนบุรี แล้วเลี้ยวตัดเข้าทางนครนายก เพื่อจะแวะคาเฟ่เปิดใหม่ที่สวยงามชื่อ ภูตะลึง
พร้อมกับทานมื้อเย็นในบรรยากาศของทะเลสาบที่เห็นจากเนินเขา ก่อนกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ
ในส่วนจุดเช็คอินต่างๆ หลังจากที่ออกจากทุ่งทานตะวันแล้ว จะมาเขียนอีกใน Episode หน้าต่อไปครับ
โฆษณา