28 ธ.ค. 2023 เวลา 03:12 • หุ้น & เศรษฐกิจ

เปิดรายชื่อ 10 หุ้นเด่น น่าลงทุนประจำปี 2567

ปีนี้ตลาดหุ้นไทยได้รับปัจจัยกดดันหลายด้าน ทั้งอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่อยู่ในระดับสูง การฟื้นตัวของเศรษฐกิจมาช้ากว่าที่คาด รวมถึงเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติไหลออกต่อเนื่อง และความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ลดลงจาก ทำให้มูลค่าการซื้อขายต่อวันปรับตัวลงมาอยู่ในระดับ 3 หมื่นล้านบาท และดัชนีร่วงลงมาเทรดในต่ำกว่าระดับ 1,400 จุด
ดังนั้นปี 2567 จึงเป็นปีที่หลายฝ่ายคาดหวังว่าสถานการณ์ต่างๆ จะคลี่คลาย ช่วยสนับสนุนให้ภาพรวมเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศปรับตัวดีขึ้น Wealthy Thai จึงมีกลยุทธ์การลงทุน และ 10 หุ้น Top Picks ที่น่าสนใจสำหรับปีหน้ามาฝาก
โดยนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ระบุว่า มองตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มปรับตัวได้ดีในครึ่งปีหลังปี 2567 โดยให้กรอบ SET Index อยู่ที่ 1,650-1,700 จุด มองลักษณะการลงทุนที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนดี คือ
1. อัตราผลตอบแทนพันธบัตรลดลง 2. กลุ่มที่กำไรผ่านจุดต่ำสุด 3. กลุ่มเชิงรับที่สามารถต่อกรกับความผันผวนภายนอกได้ดี 4. กลุ่มที่มีการเติบโตดีต่อเนื่อง 5. ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และ 6. มี Valuation น่าสนใจ
สำหรับหุ้นที่แนะนำให้ลงทุน ได้แก่ AMATA, BBL, BDMS, BEM, CPALL, CRC, GULF, OR, SCC, SCGP โดยเริ่มต้นที่ AMATA ฝ่ายวิเคราะห์คาดจะได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตและ EEC
โดยแบ็กล็อก ณ สิ้นไตรมาส 3/66 อยู่ที่ 10,650 ล้านบาท หนุนรายได้ใน 2-3 ปีข้างหน้า ประเมินกำไรปี 2566 ที่ 1,897 ล้านบาท โต 110% และเติบโตต่ออีก 18% อยู่ที่ 2,239 ล้านบาท ในปี 2567 คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 29.10 บาท
ถัดมา BBL ฝ่ายวิเคราะห์คาดปี 2567 กำไรจะอยู่ที่ 51,666 ล้านบาท เติบโต 14% จากปีนี้ที่คาด 45,248 ล้านบาท โดยคาดว่าการเติบโตของสินเชื่อจะค่อยๆ ฟื้นตัวมาอยู่ที่ 5% ซึ่งมี upside จากการย้ายฐานการผลิตมายังภูมิภาคอาเซียน
ขณะที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยคาดว่ายังเพิ่มขึ้นได้อีก 17 bps และ credit cost ที่ลดลง 10 bps ราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าตามปัจจัยพื้นฐาน แนะนำ Outperform Market ราคาเป้าหมาย 210 บาท
BDMS ฝ่ายวิเคราะห์คาดกำไรปี 2566 จะเติบโตต่อเนื่องที่ 14,172 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากปีก่อน และเป็น 15,292 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% ในปี 2567 จากบริการผู้ป่วยชาวต่างชาติที่เติบโตมากขึ้น รายได้จากศูนย์ความเป็นเลิศที่เพิ่มขึ้นและการใช้ประโยชน์สินทรัพย์ได้ดีขึ้น
นอกจากนี้ยังได้ประโยชน์จากเทรนด์ Wellness Tourism ในไทย ซึ่งบริษัทตั้งเป้าหมายสัดส่วนรายได้ธุรกิจที่ไม่ใช่การรักษาพยาบาลเพิ่มเป็น 15-20% ของรายได้รวมในระยะยาว จากปัจจุบันที่ 5% แนะนำ Outperform Market ราคาเป้าหมาย 35 บาท
BEM ฝ่ายวิเคราะห์มองเป็นผู้ได้รับสัมปทานทางด่วนเส้นหลักๆ ในกรุงเทพฯ และรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน และเป็นบริษัทที่มีความผันผวนของรายได้ที่ต่ำ เนื่องจากปริมาณผู้ใช้ทางด่วนและรถไฟฟ้ามีความผันผวนต่ำ
โดยปี 2567 คาดกำไรอยู่ที่ 4,485 ล้านบาท โต 27% โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของปริมาณผู้ใช้ทางด่วนที่ 5.3% และการฟื้นตัวของจำนวนผู้โดยสาร MRT ให้คำแนะนำ Outperform ราคาเป้าหมาย 9 บาท
CPALL ฝ่ายวิเคราะห์คาดเป็นบริษัทที่ได้รับประโยชน์หลักจากโครงการ Digital Wallet (วงเงิน 5 แสนล้านบาท) ซึ่งหากอนุมัติ คาดจะเริ่มใช้เงินในโครงการได้ตั้งแต่พ.ค. 67 เพราะเป็นบริษัทในกลุ่มค้าปลีกที่มีจำนวนสาขามากที่สุด และมีสาขาครอบคลุมทุกอำเภอของประเทศไทย
โดยปี 2567 คาดกำไรอยู่ที่ 20,520 ล้านบาท โต 22% (สูงกว่าค่าเฉลี่ยการเติบโตในกลุ่มค้าปลีกที่ 16%) จากแรงหนุนการเติบโตของร้านสะดวกซื้อและดอกเบี้ยจ่ายของ CPAXT ที่ลดลง ให้คำแนะนำ Outperform ราคาเป้าหมาย 74 บาท
CRC ฝ่ายวิเคราะห์คาดเป็นบริษัทที่ได้รับประโยชน์หลักจากโครงการ E-refund ซึ่งหากอนุมัติ คาดว่าสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการซื้อสินค้าและบริการมูลค่าไม่เกิน 50,000 บาท ตั้งแต่ม.ค. - ก.พ. 67
โดยจากมาตรการลดหย่อนภาษีชอปปิ้งครั้งล่าสุด (1 ม.ค.- 15 ก.พ. 66) ช่วยกระตุ้น SSS growth ของ CRC เพิ่มขึ้น 2 -3% จากช่วงเดียวกันปีก่อนมากที่สุดในกลุ่มค้าปลีก ประเมินปี 2567 มีกำไร 9,248 ล้านบาท โต 14% แนะนำ Outperform Market ราคาเป้าหมาย 48 บาท
GULF ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินกำลังการผลิตยังขยายตัวต่อเนื่องในช่วง 10 ปีข้างหน้า ยังคงเติบโตปีละ 6% หรือเพิ่มขึ้นมากกว่า 8.8 GW โดยเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนเป็น 30% ภายในปี 2576 และทำให้กำไรเติบโตต่อเนื่อง
โดยเฉพาะในช่วงปี 2566-2568 คาดปี 2566 มีกำไรที่ 15,932 ล้านบาท โต 39.53% และปี 2567 ที่ 20,421 ล้านบาท โต 28.18% ให้คำแนะนำ Outperform ราคาเป้าหมาย 63 บาท
OR ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินปี 2567 แนวโน้มกำไรยังเติบโตต่อเนื่อง คาดกำไรอยู่ที่ 15,238 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.14% แรงหนุนมาจากอุปสงค์ผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปที่เพิ่มขึ้นและส่วนแบ่งตลาดสูงสุดในอุตสาหกรรม (มากกว่า 40%) และรายได้ที่ดีขึ้นจากธุรกิจ lifestyle
โดยคาดว่าบริษัทจะได้รับประโยชน์จากนโยบายแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต ผ่านธุรกิจ ifestyle โดยเฉพาะในส่วนของธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม (Cafe Amazon) ให้คำแนะนำ Outperform ราคาเป้าหมาย 27 บาท
SCC ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินกำไรปี 2567 จะฟื้นตัวอยู่ที่ 650,056 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.84% ปัจจัยหนุนจาก 1) การฟื้นตัวของธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง จากความต้องการเพิ่มขึ้น และต้นทุนพลังงานถ่านหินลดลง
2) คาด Chemical spread จะฟื้นตัวขึ้นในช่วงครึ่งหลังปี 67 ซึ่งเป็นช่วงที่ปริมาณเริ่มกลับมา ขณะที่ Supply ใหม่เริ่มออกมาน้อยแล้ว และ 3) ธุรกิจ Packaging คาดจะฟื้นตัวตามปริมาณความต้องการที่เพิ่มขึ้นและต้นทุนลดลง
นอกจากนี้ราคาหุ้น SCC ยังปรับลงมาซื้อขายที่ระดับต่ำกว่า Book value เป็นครั้งแรกในรอบอย่างน้อย 10 ปี มาอยู่ที่ 0.75 เท่า ณ ปัจจุบัน จึงทำให้มอง Downside risk จำกัด ให้คำแนะนำ Outperform Market ราคาเป้าหมาย 357 บาท
และสุดท้าย SCGP ฝ่ายวิเคราะห์มองผลการดำเนินงานอยู่ในทิศทางที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง ปัจจัยหนุน ได้แก่ แนวโน้มราคาบรรจุภัณฑ์กระดาษที่เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 4/66
โดยจากการกลับมาของปริมาณความต้องการบรรจุภัณฑ์กระดาษจากประเทศจีน ซึ่งเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ของภูมิภาค นอกจากนี้ยังได้ประโยชน์จากต้นทุนพลังงานถ่านหิน และค่าไฟฟ้าที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง
ดังนั้นประเมินกำไรปี 2567 ที่ 7,668 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36.73% จากปีนี้ ขณะที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงสะท้อนประเด็นลบไปค่อนข้างมากแล้ว ราคาหุ้นซื้อขายต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 3 ปีที่ 31.7 เท่า ให้คำแนะนำ Outperform Market ราคาเป้าหมาย 51 บาท
โฆษณา