28 ธ.ค. 2023 เวลา 11:53 • หนังสือ

บทเรียนจาก “เลิกเป็นคนดี แล้วจะมีความสุข” ตอนที่ 1

สวัสดีทุกๆท่านกันด้วยนะครับ เนื่องจากผมมีโอกาสได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งครับ ที่มีชื่อว่า “เลิกเป็นคนดี แล้วจะมีความสุข” ซึ่ง “เลิกเป็นคนดี” ที่ในหนังสือเล่มนี้กล่าวถึง หมายความว่า เลิกที่จะแคร์สายตาคนอื่น หรือ ใส่ใจคนอื่นมากจนเกินไปครับ ว่าเขาจะคิดยังไงกับเรานะ ? ทำแบบนี้เขาจะเกลียดเราไหมนะ ? นี่คือนิยามของการ ”เลิกเป็นคนดี“ ที่หนังสือเล่มนี้กำลังพูดถึงครับ
สำหรับ Ep.แรกนั้น ผมจะมาพูดถึงกัน 3 หัวข้อครับ ที่ผมถอดบทเรียนได้จากหนังสือเล่มนี้ และผม ก็อยากจะนำบทเรียนเหล่านี้ มาแบ่งปันกับทุกท่านที่เข้ามาอ่านกันครับ
เพราะฉะนั้นแล้ว เรามาเริ่มกัน ที่หัวข้อแรกเลยดีกว่าครับ
1.) ไม่เป็นตัวของตัวเอง = ไม่จริงใจ ?
สำหรับท่านที่ไม่สามารถละทิ้งความสำคัญของสายตาคนรอบตัวที่มองมาได้ ก็อาจจะใช้ชีวิตลำบากกันสักหน่อยนะครับ เมื่อคุณต้องเข้าสังคม แต่คุณหมกมุ่นอยู่กับความคิดว่า “เราจะทำยังไงดีนะ ที่จะทำให้ไม่ถูกเกลียด” การที่คุณคิดแบบนี้ แน่นอนว่าลึกๆ คุณเป็นคนดี ใส่ใจคนรอบตัว แต่คนที่เขากำลังคุยกับคุณอยู่นั้น เขาอ่านใจคุณไม่ได้ครับ และคุณอาจจะถูกตีความว่า “สวมหน้ากาก” เขาอาจจะคิดว่า คุณไม่จริงใจ และไม่เปิดเผยความรู้สึก
การที่คุณทำเช่นนี้ อาจทำให้คุณหาสังคม หาเพื่อน ที่เคมีตรงกันกับคุณไม่ได้ เนื่องจาก เขาไม่สามารถที่จะรับรู้ตัวตนจริงๆของคุณ
ดังนั้น หนังสือเล่มนี้ ต้องการจะบอกคุณว่า จงเป็นตัวของตัวเอง ครับ แต่มีข้อแม้ว่า การเป็นตัวของตัวเองของคุณ จะต้องรวมเรื่อง การมีกาลเทศะ มีมารยาท และไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน เข้าไปด้วยนะครับ
เมื่อคุณเป็นตัวของตัวเองแล้ว มันก็จะดึงคนที่มีมุมมอง ทัศนคติ ลักษณะนิสัย ที่คล้ายๆกับคุณ หรือ คนที่ชอบในตัวคุณ เข้ามาหาคุณ ซึ่งทำให้คุณได้เพื่อนที่คบแล้วสบายใจ เคมีตรงกัน รู้สึกมีความสุข ในทางกลับกัน มันก็จะมีคนที่ไม่ชอบในความเป็นตัวเองของคุณอยู่เช่นกัน แต่ก็ ช่างเขาดีกว่าครับ เราไม่มีทางที่จะไม่ถูกเกลียดอยู่แล้วนี่ครับ จริงมั้ย ?
อย่าพยายามที่จะทำให้ทุกคนชอบในตัวคุณเลยครับ นั่นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่คุณเลือกที่จะมีความสุขกับคนที่ยอมรับในตัวตนของคุณ ชอบในตัวตนของคุณได้นะครับ
ทุกอย่างบนโลกนี้ มีตัวตนของมันครับ
ผมจะยกตัวอย่างให้นะครับ ผมจะพูดถึงเรื่องของ “ สี ” ครับ
“ สี ” เป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต ไม่มีจิตใจ และไม่มีความคิด ดังนั้นมันจึงไม่ได้คิดว่า อะไรคือการปกปิดตัวตน ? อะไรคือการทำให้คนอื่นชอบ ? มันจึงแสดงตัวตนออกมาอย่างชัดเจนครับ ตัวตนที่ว่า เช่น สีแดง , สีเขียว , สีเหลือง และสีอื่นๆ และตัวตนนี้ ก็มีทั้งคนที่ชอบ และไม่ชอบ ถ้าเลือกคนมาสัก 10 คน ผมเดาได้เลยว่า ทุกคนต้องมีสีที่ชื่นชอบ และไม่ชอบ อย่างตัวผม ผมชอบสีฟ้า เพราะมันสบายตา ผ่อนคลาย แต่ไม่ชอบสีแดง ส้ม เพราะมันแสบตา อะไรประมาณนี้ ครับ
เรื่องของ “ สี ” ที่ผมเล่ามาข้างต้น ก็เปรียบได้กับตัวตนที่คุณแสดงออกมานั่นแหละครับ มันย่อมมีทั้งคนที่ชอบ และไม่ชอบ ซึ่งนี่ ก็เป็นเรื่องธรรมดาของโลกใบนี้ เป็นสิ่งที่ต้องทำใจยอมรับครับ เพื่อให้เราใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข
2.) ถูกเกลียด ? แล้วยังไงต่อ ?
หากคุณไม่สบายใจ เมื่อได้ทราบว่า มีคนเกลียดคุณ ผมอยากให้ลองนึกถึงข้อดี-ข้อเสียครับ ว่าการที่เราไปเอาเรื่องนั้นมาใส่ใจ มีข้อดีอะไรบ้าง ? แล้วข้อเสียล่ะ มีอะไรบ้าง ? ผมขอไม่พูดแทนทุกท่านนะครับ ว่าแต่ละคนควรจะได้ข้อดี และข้อเสียอะไรกันบ้าง แต่สำหรับผม ข้อดีของการที่ไปเอาความเกลียดของคนอื่นที่มีต่อเรามาใส่ใจ มันไม่ก่อให้เกิดผลดีอะไรเลยสักนิดครับ มีแต่เสีย กับ เสีย และก็เสียครับ มีแต่ความทุกข์ใจ จะบอกว่า สุดท้ายแล้ว ผมก็หาข้อดีจากเรื่องนี้ไม่ได้เลยครับ มีแต่ข้อเสียทั้งนั้น
อีกด้านนึง ผมอยากให้ท่านลองหา ข้อดี-ข้อเสีย ของการไม่เอาความเกลียดของคนอื่นที่มีต่อเรา มาใส่ใจ สำหรับผมแล้ว มันมีแต่ข้อดีครับ รู้สึกเหมือนทิ้งภาระอะไรบางอย่าง ออกไปได้ สบายตัวขึ้นเยอะครับ ดังนั้นเรามาใส่ใจในเรื่องที่ควรจะใส่ใจดีกว่าครับ
3.) เลือกคบคนไม่ได้แปลว่าเราโลกแคบ
บางคนอาจจะเคยมีความคิดแบบนี้อยู่ในหัวกันบ้าง ว่าถ้าเราเลือกคบเพื่อน เราจะถูกมองว่าเป็นคนโลกแคบมั้ยนะ ? หรือ เราจะกลายเป็นคนโลกแคบมั้ยนะ ? สิ่งที่หนังสือเล่มนี้บอกผม คือ “ความสุขคุณต้องมาก่อน” ครับ
การที่คุณพยายามจะเข้าสังคม โดยพยายามทำตัวให้เข้ากันได้ดีกับทุกคน เป็นเรื่องที่ดีครับ แต่ก็ต้องยอมรับว่า บางครั้ง บางคนก็ไม่ได้ชอบคุณ และการที่คุณไปพยายามเป็นมิตรกับคนที่ไม่ชอบคุณ ด้วยความคิดที่ว่า คุณกลัวที่จะกลายเป็นคนโลกแคบ มันคงจะเป็นสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจไม่น้อยเลย ถ้าหากคุณต้องไปพยายามสร้างมิตรภาพกับคนที่ไม่ได้ชอบคุณ
พอเราไปอยู่กับกลุ่มคนที่เขาไม่ได้ชอบคุณ แน่นอนเลยว่า คุณจะขาดความมั่นใจ รู้สึกไม่เป็นตัวเอง อึดอัด และไม่กล้าแสดงความคิดเห็นครับ
 
แต่หากคุณเลือกคบคนที่พร้อมจะเป็นมิตรกับคุณ มันจะง่ายกว่านั้นเยอะครับ หากคุณอยู่กับกลุ่มคนที่เคมีเข้ากันได้ดีกับคุณ ความสุขก็จะเกิด คุณจะมั่นใจ กล้าออกความคิดเห็น กล้าที่จะเปิดอกคุยกันได้อย่างเต็มที่ มันจะทำให้คุณดึงศักยภาพของตัวเองออกมาได้เยอะเลยครับ
ผมว่า การที่เราจะเจอสังคมดีๆได้ เป็นเรื่องที่เกิดแบบสุ่มครับ มันเป็นเรื่องที่เราเลือกไม่ได้เลยจริงๆ ยิ่งตอนคุณเป็นเด็กประถม เป็นเด็กมัธยม ยิ่งหาทางหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย หากต้องเจอเข้ากับสังคมที่ toxic กับคุณ
ผู้ใหญ่หลายๆคนอาจมองเป็นเรื่องของเด็กๆ มองเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆกับการที่ลูกโดนแกล้ง โดนรังแก ซึ่งหลายๆปีที่ผ่านมานี้ เรื่องเหล่านี้ก็ได้พิสูจน์ให้คุณเห็นแล้ว ว่ามัน อาจจะไม่ใช่เรื่องเล็ก อย่างที่เราคิด จากข่าวการฆ่าตัวตายจากการถูกกลั่นแกล้งของเด็กหลายๆคน เป็นเครื่องพิสูจน์อย่างดีครับ ว่าบางครั้ง การเลือกที่จะฟังลูก และคอยสังเกตปัญหาที่เกิดขึ้นกับลูกอย่างจริงจัง หากพบว่า สังคมในโรงเรียนนั้น มันแย่อย่างว่าจริงๆ ผมคิดว่า ถ้าไม่เหนือบ่ากว่าแรงจนเกินไป ก็อาจจะให้ลูกย้ายโรงเรียนดีกว่าครับ
แล้วถ้าสังคมใหม่มันแย่ลงกว่าเดิมล่ะ ?
ผมมองว่า เรามีตัวเลือกไม่มากแล้วครับ เราอาจจะพอหาข้อมูลพฤติกรรมเด็กที่โรงเรียนใหม่ ที่เราต้องการจะย้ายลูกเราไปเรียนที่นั่นว่า เป็นอย่างไร ? โดยการถามอาจารย์ที่สอนอยู่ หรือถามผู้ปกครองของเด็กที่มีลูกเรียนอยู่ที่นั่น นี่ก็เป็นสิ่งที่เราพอจะทำได้ครับ
ถ้าโชคดี สังคมใหม่ดีขึ้นกว่าเดิม สิ่งนี้จะทำให้เด็ก รู้สึกอยากไปโรงเรียนมากขึ้น เพราะมีเพื่อนที่รู้ใจ มีเพื่อนที่คุยกันได้ เพราะว่าความสุขเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดแล้วครับ และการอยู่ในสังคมที่เราจะมีความสุขก็เป็นเรื่องที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ยากมากเช่นกัน ตรงนี้ก็อาจจะต้องทำใจไว้บ้างครับ
แต่สำหรับผู้ใหญ่ ที่มีอำนาจในการตัดสินใจอะไรต่างๆด้วยตัวเองได้แล้ว หากคุณเจอสังคมที่มันแย่มากจริงๆ ถามว่า “แย่มาก” ที่ผมว่า เราวัดจากอะไร ? วัดจากปริมาณความสุขในใจคุณครับ วัดจากวันที่ต้องทำงาน คุณมีความรู้สึกอย่างไร ? อยากไปทำงานมั้ย ? หรือรู้สึกไม่อยากจะไปเลย ? เพราะนึกถึงสิ่งที่มันเกิดขึ้นในที่ทำงาน เช่น โดนเพื่อนร่วมงาน toxic ใส่
หากคุณรับรู้ได้ ว่าความสุขคุณมันลดน้อยลงไปทุกที ตรงนี้ก็อาจจะแนะนำให้ย้ายสถานที่ทำงานครับ
1
แล้วถ้าเงินเดือนมันน้อยกว่าเดิมล่ะ ?
ครับ สำหรับตัวผมเองนะครับ ผมมีมุมมองว่า สิ่งที่สำคัญที่สุด ในขณะที่ผมมีชีวิตอยู่ คือ “ความสุข” ครับ ถ้าหากย้ายไปทำงานที่อื่นแล้ว เงินเดือนมันอาจจะน้อยกว่าเดิมไปบ้าง แต่ถ้าหากแลกกับการมีสังคมเพื่อนร่วมงานดี เราอยู่ทำงานที่นี่แล้ว มีความสุขทุกครั้งที่ตื่นเช้ามา ก็มีความรู้สึกอยากไปทำงาน ถึงจะเงินเดือนน้อยกว่าเดิมสักเล็กน้อย ผมก็ยอมแลกกับความสุขที่เพิ่มขึ้นครับ
แล้วถ้าสังคมในที่ทำงานใหม่มันแย่กว่าเดิมล่ะ ?
อันนี้เป็นปัจจัยที่เราเลือกไม่ได้เลยครับ ถ้าหากเราได้ถามมุมมองจากคนที่เคยทำงานในที่ที่เราจะย้ายไปมาบ้าง ก็พอจะบอกสภาพแวดล้อมในการทำงาน สังคมในการทำงานได้บ้าง นี่ก็เป็นตัวเลือกที่เราพอจะทำได้ แต่ก็ไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกว่า สังคมที่ทำงานมันจะดีกับคุณจริงๆ แต่ถ้าหากพิจารณาแล้ว ที่ทำงานเก่า อยู่ต่อไปก็มีแต่ความทุกข์ใจในทุกๆวัน การตัดสินใจย้ายที่ทำงาน ก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ณ ขณะนั้นแล้วครับ
เพราะถ้าหากคุณอยู่ที่ทำงานเก่าของคุณต่อไป ความทุกข์ใจที่คุณเฝ้าสะสม จากการเจอเพื่อนร่วมงานที่ toxic กับคุณ ย่อมมีโอกาสที่จะพฒนาไปเป็นโรคซึมเศร้าได้ ในสักวันครับ ซึ่งนั่น ส่งผลกระทบต่อสภาพร่างกาย และจิตใจคุณเป็นอย่างมาก
จากที่ผมกล่าวมาทั้งหมดนั้น ผมแน่ใจเลยว่า หลายๆเรื่อง ก็น่าหนักใจ และเป็นเรื่องที่แก้ปัญหาได้ยาก บางเรื่องแทบจะแก้ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่ว่า ถ้าหากเราพอจะมองเห็นโอกาสที่จะมีความสุขแล้วล่ะก็ หากโอกาสนั้นไม่ได้ลำบากเกินไปที่จะคว้ามา และเมื่อคุณพิจารณาแล้ว คุณว่า คุณน่าจะพอคว้าโอกาสนั้นมาได้
ผมอยากให้คุณไปคว้ามาเลยครับ
“ความสุข” เป็นสิ่งที่ดูเหมือนจะทำให้มันเกิดขึ้นกับเราได้ไม่ยากเลย แต่หารู้ไม่ ว่าพวกเรานั้น ไม่ได้เลือกที่จะมีความสุขได้เสมอไป โลกนี้ไม่ได้ใจดี ให้ทุกคนได้ไขว่คว้าความสุขมาอยู่กับตัวเองได้นานนัก เพราะอย่างนั้น อย่างที่ผมได้ย้ำมาตลอดครับ
ถ้าหากมีโอกาส รีบคว้ามันไว้นะครับ
สำหรับบทเรียนจาก ”เลิกเป็นคนดี แล้วจะมีความสุข“ ใน Ep.แรก ก็คงจะจบแต่เพียงเท่านี้ครับ ขอขอบคุณทุกๆท่านนะครับ ที่แวะเข้ามาอ่าน ผมหวังว่าบทเรียนเหล่านี้จะช่วยให้ท่านได้ทำการตัดสินใจ ที่จะคว้าความสุขได้ดีขึ้นนะครับ ไม่มากก็น้อย
หากมีข้อผิดพลาดประการใด ผมก็ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ แล้วเจอกันใน Ep.ต่อๆไปนะครับ ขอบคุณครับ
โฆษณา