1 ม.ค. เวลา 07:23 • หนังสือ

บทเรียนจาก “เลิกเป็นคนดี แล้วจะมีความสุข” ตอนที่ 2

สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้ วันที่ผมเขียนบทความนี้ขึ้นมา คือ วันที่ 1 มกราคม ปี 2567 เป็นวันแรกของปีนี้ เป็นวันจันทร์แรกของสัปดาห์นี้ และก็เป็นการเริ่มต้นเดือนใหม่
ทางผู้เขียนบทความ ขออวยพรให้ทุกๆท่านพบเจอแต่ความสุข พบเจอแต่เรื่องดีๆ ในปีนี้นะครับ
วันนี้ผมได้เขียน Ep.2 ขึ้น ต่อจาก Ep.แรก ที่ผมได้ถอดบทเรียนออกมาได้ 3 ข้อ ซึ่งท่านสามารถอ่าน Ep.แรก ได้จากลิงก์นี้เลยครับ https://www.blockdit.com/posts/658d61be420d3340a3467909
ส่วนวันนี้ผมจะมาพูดกันต่อใน 5 หัวข้อครับ เพราะฉะนั้น เรามาเริ่มกันที่หัวข้อที่ 4 กันเลยดีกว่าครับ
4.) การอยู่คนเดียว ทำให้เรารู้จักกับตัวเองได้ดีกว่า
การอยู่กับเพื่อนๆเป็นเรื่องที่ดีครับ เพราะนอกจากจะไม่เหงาแล้ว ก็ยังได้พูดคุย ได้แลกเปลี่ยนความรู้ ทัศนคติต่างๆกัน หลายครั้ง การที่เราหัวเราะได้ ก็เป็นตอนที่ได้อยู่กับเพื่อนๆนี่แหละครับ แต่สิ่งที่หนังสือเล่มนี้อยากจะบอกผมก็คือ การที่เราได้อยู่คนเดียว จะทำให้เรารู้จักกับตัวตนของเราได้ดีมากขึ้น
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นล่ะ?
เพราะว่าการอยู่ในหมู่เพื่อน อาจทำให้เราเกิดการคล้อยตามขึ้นได้ ถามว่าคล้อยตามอะไร? ผมขอยกตัวอย่างแบบนี้นะครับ
บางคนยังไม่รู้จักตัวเองดี ว่าตัวเองอยากจะเรียนอะไรต่อ หลังจากที่จบมัธยมศึกษาปีที่ 6 แล้ว เมื่อได้คุยกับเพื่อนๆ ก็พบว่าเพื่อนๆหลายคนในกลุ่ม อยากเข้าวิศวะกัน ตนจึงเอาด้วย โดยความรู้สึกส่วนใหญ่นั้น ไปในทางคล้อยตามเพื่อนๆ โดยที่ใจของเขาเอง ก็ยังไม่รู้ว่า ตนจะมีความสุขกับสิ่งที้เลือกไปนี้หรือไม่ การที่เราตัดสินใจอะไรสักอย่างท่ามกลางกลุ่มเพื่อน
อาจทำให้เราขาดการพิจารณา คิดใคร่ครวญอย่างจริงจังเกี่ยวกับความรู้สึกแท้จริงของตัวเราไป
การอยู่คนเดียว โดยไม่มีปัจจัยทางสังคมมาเกี่ยว จึงอาจทำให้ตัวเรานั้น ได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น ได้นั่งพิจารณาถึงประสบการณ์ของตน ได้พิจารณาว่า อะไรคือความสุขจริงๆของเรา เราอยากจะทำอะไรจริงๆในอนาคต สิ่งนี้ทำให้เรา ค้นหาตัวตนของตัวเองได้ดีกว่า
ทั้งนี้ ผมไม่ได้จะบอกทุกท่านว่า ไม่ให้มีเพื่อนนะครับ แค่อยากจะบอกว่า “บางครั้ง การหาเวลาอยู่คนเดียวบ้าง ก็เป็นการลงทุนที่จำเป็น” เพราะการอยู่คนเดียว ช่วยให้เรามีสมาธิมากขึ้น และก็มากพอที่จะทำให้คิดใคร่ครวญอะไรต่างๆอย่างมีสติได้ และสามารถเรียบเรียงสิ่งต่างๆในชีวิตได้ดี
5.) อย่าโอนอ่อนตามผู้อื่น เพียงเพราะไม่อยากขัดแย้ง
การที่เรามีเหตุผลเป็นของตนเอง แต่ไม่ยอมนำมาใช้ในการโต้แย้งเมื่อเกิดความขัดแย้ง เพื่อให้เรื่องจบไวๆ โดยการโอนอ่อนตามอีกฝ่ายไป และละทิ้งเหตุผลที่ตนเองมี แสดงถึงการขาดความเชื่อมั่นในตนเอง และกังวลว่าจะถูกเกลียดเพราะเห็นต่างจากคนอื่น
หากเรามีเหตุผลที่ดีพอ ก็อยากให้กล้าที่จะแสดงออกถึงความคิดเห็นของตนเองออกไป แม้จะเกิดความขัดแย้งขึ้น หากพบว่าเหตุผลของเรา มันเป็นเหตุผลที่ผิด ก็ควรที่จะรับฟังผู้อื่น เพื่อรับทราบแนวความคิดที่ถูกต้อง แต่หากเหตุผลของเรา เป็นเหตุผลที่ดี และถูกต้อง ยิ่งสมควรนำออกมาเพื่อใช้ในการโต้แย้ง
1
สิ่งที่อยากให้ท่านกล้าที่จะทำคือ กล้าที่จะออกความเห็น แม้มันอาจจะเป็นความคิดที่แตกต่างกับผู้อื่น จนก่อให้เกิดการขัดแย้งกันได้ แต่นี่ ก็แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในตัวเองที่มากขึ้น
เราไม่ผิดที่จะเห็นต่าง ทุกคนควรจะเคารพความเห็นของแต่ละฝ่าย แต่หากเหตุผลของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิด ฝ่ายนั้นควรจะต้องหัดรับฟังความเห็นที่เมื่อพิจารณาแล้ว เป็นเหตุผลที่ถูกต้องมากกว่า หากยึดมั่นในความคิดเห็นของตนมากเกินไป โดยไม่สนถูกผิด และรับฟังผู้อื่น ย่อมทำให้เกิดความขัดแย้งได้
6.) เราควรคบคนเพื่อผลประโยชน์
ชื่อหัวข้อนี้ ทำให้เราดูแย่ไปเลยเนอะ แต่ไม่ต้องกังวลไปครับ ผลประโยชน์ที่ว่า ผมไม่ได้หมายถึง เงินทอง ประโยชน์ทางธุรกิจ หรืออะไรแบบนั้นครับ แต่ผมหมายถึง “ความสุข” ต่างหากครับ เราควรคบคนที่เราอยู่ด้วยแล้วสนุก สบายใจ มีความสุข ครับ นอกจากจะทำให้เราเป็นตัวของตัวเองแล้ว ก็ยังทำให้เรามีสุขภาพจิตที่ดีอีกด้วย
ในทางตรงกันข้าม เราควรกล้าที่จะตัดเพื่อน กับคนที่เราคบด้วยแล้ว สภาพจิตใจย่ำแย่ พูดจาแต่ละที ทำให้เราเสียความมั่นใจในตนเอง ทำให้เรารู้สึกไม่ดี หากคบแล้วเป็นเช่นนี้ ต้องกล้าที่จะตัดความสัมพันธ์ครับ
7.) การปฏิเสธคนอื่นไม่เป็น อาจทำให้เราต้องเสียเงินและเวลาโดยใช่เหตุ
การที่เราเป็นคนที่ใส่ใจคนอื่นมากเกินเหตุ กลัวว่าทำแบบนี้เขาจะไม่ชอบรึเปล่า? ทำแบบนี้เขาจะเกลียดเราไหมนะ? ย่อมส่งผลเสียต่อตัวเรามากกว่าที่คิด เช่น เพื่อนชวนคุณไปกินเหล้า หากคุณพิจารณาแล้วว่ามันเสียเวลา เสียเงิน เสียสุขภาพ และคุณเองก็ไม่ได้อยากไป อย่าตอบตกลงเพียงเพราะ กลัวเขาจะไม่พอใจคุณ
สิ่งที่คุณควรจะทำคือ คุณต้องใจแข็งที่จะปฏิเสธ ไม่งั้นนอกจากคุณ จะไม่ได้ enjoy กับการดื่มแล้ว คุณยังต้องเสียเงิน และเสียเวลาที่จะไปทำอย่างอื่นอีกด้วย
เหตุการณ์ที่คนที่ใส่ใจคนอื่นมากเกินไป จะเสียเงินอย่างมิใช่เหตุ ก็คือตอนคุณเดินเข้าห้าง และเจอนักขายมาตามตื๊อให้คุณซื้อสินค้า หลายคนมักจะตกหลุมพลางนี้ และซื้อสินค้าที่ไม่ได้มีความต้องการใช้แต่อย่างใด แต่ซื้อเพียงเพราะเห็นใจคนขาย หรือกลัวเขาจะหาว่าเราเป็นคนขี้เหนียว อะไรทำนองนี้
ถ้าเจอเหตุการณ์เช่นนี้ ผมอยากให้คุณโฟกัสที่สินค้าครับ ว่าคุณจำเป็นต้องใช้มันจริงๆมั้ย? อย่าไปโฟกัสที่นักขาย เพราะสีหน้า คำพูด และท่าทางของเขา อาจจะทำให้คุณต้องตัดสินใจซื้อ เพราะตกหลุมพรางเทคนิคการขายของเขาได้
8.) คนส่วนใหญ่เลือกที่จะเลิกพยายามไปสู่ความสำเร็จ และนั่งเทียบตัวเองกับผู้ที่ด้อยกว่าตน เพื่อที่จะได้รู้สึกว่าตนนั้นเหนือกว่า
คนจำนวนมากเลยทีเดียวครับ ที่เกลียดการได้เห็นความสำเร็จของผู้อื่น นั่นก็เพราะ ความสำเร็จเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก บางครั้ง ความพยายามก็พาเราไปไม่ถึง เนื่องจากมันมีปัจจัยหลายอย่างที่มาเกี่ยวข้องกับการประสบความสำเร็จด้วย จึงทำให้หลายคน ล้มเลิกความพยายามไป
แต่สิ่งที่พวกเขาทำ แทนที่จะกลับมาพยายามทำบางสิ่งให้ประสบความสำเร็จ ก็คือ การหาข้อผิดพลาดในตัวผู้อื่น เอามาเทียบกับตัวเอง เพื่อให้รู้สึกดีขึ้น
เช่น คุณได้คะแนนน้อย และมีทั้งเพื่อนที่ได้คะแนนเยอะกว่าคุณกับได้คะแนนน้อยกว่าคุณ แทนที่คุณจะพยายามมากขึ้น หาวิธีที่ดีกว่าเดิมในการเรียน เพื่อที่จะได้คะแนนสูงๆบ้าง แต่คุณกลับมองหาคนที่คะแนนน้อยกว่าคุณมาเพื่อบอกกับตัวเองว่า “ไม่เป็นไร อย่างน้อยเราก็ยังได้คะแนนมากกว่าคนนั้น” เพื่อปลอบใจตัวเอง
นี่เป็นสาเหตุว่า ทำไมพวกข่าวอื้อฉาว ข่าวความล้มเหลว ความโชคร้ายของผู้อื่น จึงเรียกยอดวิวจากผู้คนได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้น การแสดงความคิดเห็นต่อโพสต์ของข่าวเหล่านี้ ก็มีเยอะมากเช่นกัน
สำหรับวันนี้ ต้องขอขอบคุณทุกๆท่าน ที่ผ่านไปผ่านมา และกดเข้ามาอ่าน มาเยี่ยมชม ผลงานการเขียนบทความของผม ผมหวังว่า บทเรียนเหล่านี้ จะมีประโยชน์ต่อท่าน ไม่มากก็น้อยนะครับ
แล้วเจอกันใน Ep.หน้านะครับ ขอบคุณครับ
*หากเกิดข้อผิดพลาดประการใด ทางผู้เขียนต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย และพร้อมรับคำติชมอยู่เสมอครับ
โฆษณา