3 ม.ค. 2024 เวลา 08:20 • ประวัติศาสตร์

“สุลต่านอิบราฮิมที่ 1 (Ibrahim I)” สุลต่านที่ได้รับการกล่าวขวัญว่าวิปริตที่สุดแห่งอ็อตโตมัน

ในสมัยรุ่งเรืองของ “จักรวรรดิอ็อตโตมัน (Ottoman Empire)” ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดคือ “สุลต่าน” ผู้ซึ่งเป็นพระประมุขของอาณาจักร
แต่องค์สุลต่านก็ยังต้องกังวลพระทัย เนื่องจากพระองค์อาจจะถูกพระอนุชาขึ้นมาแทนที่ได้ ดังนั้นทางออกก็คือ เมื่อขึ้นครองบัลลังก์ สุลต่านมักจะมีรับสั่งให้ปลงพระชนม์เหล่าพระอนุชา
แต่ในเวลาต่อมา เมื่อถึงช่วงต้นศตวรรษที่ 17 วิธีการแก้ปัญหาแบบป่าเถื่อนเช่นนี้ก็ได้ถูกยกเลิกไป แทนที่ด้วยการสร้างฮาเรมหรูที่เรียกว่า “Kafes” แทน
1
เหล่าเจ้าชายองค์น้อยๆ จะถูกคุมขังไว้ใน Kafes ปล่อยให้สิ้นพระชนม์ไปตามเวลา
1
ในปีค.ศ.1617 (พ.ศ.2160) “สุลต่านอาเหม็ดที่ 1 (Ahmed I)” สวรรคต และผู้ที่ขึ้นครองบัลลังก์ต่อมาก็คือ “สุลต่านมุสตาฟาที่ 1 (Mustafa I)” พระอนุชา
1
ในเวลานั้น “สุลต่านอิบราฮิมที่ 1 (Ibrahim I)” เพิ่งจะมีพระชนมายุเพียงสองพรรษา และถูกคุมองค์ใน Kafes โดยพระองค์ต้องใช้ชีวิตกว่า 23 ปีใน Kafes และความเครียดต่างๆ ก็ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อพระสติของพระองค์
สุลต่านอิบราฮิมที่ 1 (Ibrahim I)
ในปีค.ศ.1640 (พ.ศ.2183) “สุลต่านมุราดที่ 4 (Murad IV)” พระเชษฐาของพระองค์ได้สวรรคต และสุลต่านอิบราฮิมที่ 1 ก็ได้ขึ้นเป็นองค์สุลต่านแห่งจักรวรรดิอ็อตโตมัน
ช่วงเวลา 23 ปีที่ถูกคุมองค์อยู่ในเรือนจำหลวงได้ทำให้พระสติของพระองค์นั้นเรียกได้ว่าวิปลาส ไม่ปกติ แต่ปัญหาก็คือ เวลานี้พระองค์ซึ่งไม่ปกตินั้น ดันครองอำนาจปกครองอาณาจักรที่เข้มแข็งที่สุดอาณาจักรหนึ่งในประวัติศาสตร์
1
“โกเซมสุลต่าน (Kösem Sultan)” พระราชมารดาของสุลต่านอิบราฮิมที่ 1 ก็เป็นผู้ที่โหยหาอำนาจ พระองค์จึงทรงทำทุกทางเพื่อให้พระราชโอรสทรงหมกมุ่นแต่กับความสุขสบาย จะได้ไม่ต้องสนใจเรื่องราวบ้านเมือง ทำให้พระองค์เป็นผู้ปกครองบ้านเมืองเอง
1
โกเซมสุลต่าน (Kösem Sultan)
โกเซมสุลต่านทรงมีรับสั่งให้ไปหาทาสหญิงจำนวนมากมาปรนเปรอสุลต่านอิบราฮิมที่ 1 อีกทั้งยังพยายามหาทางให้พระราชโอรสทรงหมกมุ่นในกามารมณ์อีกด้วย
ทางด้านสุลต่านอิบราฮิมที่ 1 พระองค์ทรงครอบครองฮาเรมที่มโหฬาร และทรงกระทำต่อหญิงในฮาเรมไม่ต่างจากสัตว์
พระองค์จะมีรับสั่งให้เหล่านางบำเรอเปลื้องผ้า และคุกเข่า คลานสี่ขาเหมือนสัตว์ ส่วนพระองค์ก็จะทรงวิ่งเล่นรอบๆ หญิงเหล่านั้น แกล้งทำเสียงม้า ขึ้นขี่หญิงแต่ละคน ก่อนจะเสพกามกับหญิงเหล่านั้นอย่างสำราญพระทัย และพระองค์ยังมีรับสั่งให้ติดกระจกรอบๆ ฮาเรมเพื่อที่พระองค์จะได้ทรงเห็นองค์เองขณะสำราญกาม
3
เป็นที่ร่ำลือว่าพระองค์ทรงโปรดหญิงอ้วน โดยในการเสด็จพระราชดำเนินชนบทครั้งหนึ่ง พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นวัวตัวหนึ่ง และมีรับสั่งให้ทำรูปจำลองอวัยวะเพศวัวตัวเมียทองคำขึ้นมา ก่อนจะมีรับสั่งให้ออกตามหาสตรีที่มีรูปร่างอ้วนใหญ่
1
ข้าราชบริพารของพระองค์ได้ไปนำหญิงชาวอาร์เมเนียรายหนึ่งที่มีน้ำหนัก 130 กิโลกรัมมาถวายพระองค์ ซึ่งพระองค์ก็ทรงพอพระทัยมาก และพระราชทานนามให้ว่า “ซิเวการ์สุลต่าน (Sivekar Sultan)”
ในเวลาต่อมา ซิเวการ์สุลต่านได้มาทูลสุลต่านอิบราฮิมที่ 1 ว่าหนึ่งในนางบำเรอจำนวน 280 คนของพระองค์ หนึ่งในนั้นได้คบชู้ สร้างความพิโรธให้สุลต่านอิบราฮิมที่ 1 เป็นอย่างมาก พระองค์จึงทรงทรมานนางบำเรอแต่ละคนเพื่อหาคนผิด
2
ซิเวการ์สุลต่าน (Sivekar Sultan)
เมื่อการทรมานและสืบสวนไม่สามารถหาคนผิดได้ สุลต่านอิบราฮิมที่ 1 ก็ทรงมีรับสั่งให้นำนางบำเรอแต่ละคน จำนวน 280 คนไปยัดใส่กระสอบ และโยนลงแม่น้ำ โดยเหล่านางบำเรอนั้นเสียชีวิตทั้งหมด เหลือรอดมาได้เพียงรายเดียวเนื่องจากมีเรือผ่านมาเห็นพอดีและได้ช่วยเหลือ
ทางด้านโกเซมสุลต่าน พระราชมารดาของสุลต่านอิบราฮิมที่ 1 ก็ทรงเล็งเห็นว่าพระราชโอรสทรงเชื่อฟังซิเวการ์สุลต่านมาก ทำให้ทรงคิดว่าซิเวการ์สุลต่านเริ่มจะมีอิทธิพลมากเกินไปแล้ว อาจจะทำให้อำนาจของพระองค์สั่นคลอน พระองค์จึงทรงคิดจะตัดไฟแต่ต้นลม
1
โกเซมสุลต่านทรงเชิญซิเวการ์สุลต่านมาร่วมโต๊ะเสวยพระกระยาหารเย็น โดยได้ทรงวางยาพิษไว้ในอาหาร และเมื่อซิเวการ์สุลต่านถูกยาพิษและเสียชีวิต โกเซมสุลต่านก็ได้ทูลสุลต่านอิบราฮิมที่ 1 ว่าซิเวการ์สุลต่านนั้นล้มป่วยเองจนเสียชีวิต
นอกจากนั้น ถึงแม้สุลต่านอิบราฮิมที่ 1 จะมีนางบำเรอนับร้อย แต่พระองค์มักจะรู้สึกติดพระทัยในสตรีที่ปฏิเสธ ไม่ยอมพระองค์ โดยหนึ่งในกิจกรรมที่พระองค์ทรงโปรดคือการนำหญิงบริสุทธิ์จำนวนมากมายืนเรียงกันในสวนของพระราชวัง ก่อนจะลงมือข่มขืนหญิงเหล่านั้น
2
ครั้งหนึ่ง พระองค์ทรงสนพระทัยในบุตรสาวของแกรนด์มัฟติ (Grand Mufti) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ใหญ่ของศาสนาอิสลาม หากแต่บุตรสาวของแกรนด์มัฟติได้ทูลปฏิเสธ เนื่องจากทราบถึงกิตติศัพท์ของสุลต่านอิบราฮิมที่ 1
เมื่อถูกปฏิเสธ สุลต่านอิบราฮิมที่ 1 ก็ทรงลักพาตัวบุตรสาวของแกรนด์มัฟติ กักขัง ก่อนจะข่มขืนเธอเป็นเวลานานหลายวัน และปล่อยตัวกลับบ้านหลังจากทรงเบื่อแล้ว
1
ความวิปริตของพระองค์ยังไม่หมด พระองค์ยังเกือบจะสังหารพระราชโอรสของพระองค์เองอีกด้วย
ในครั้งหนึ่ง สุลต่านอิบราฮิมที่ 1 ทรงมีปากเสียงกับพระชายา ซึ่งก็คือพระราชมารดาของ “สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 4 (Mehmed IV)”
หลังจากมีปากเสียงกัน สุลต่านอิบราฮิมที่ 1 ก็ทรงกริ้วหนัก และได้เอามีดมาปักลงบนพระเศียรของสุลต่านเมห์เหม็ดที่ 4 ซึ่งยังอยู่ในวัยแบเบาะ ก่อนจะโยนสุลต่านเมห์เหม็ดที่ 4 ลงไปยังสระน้ำ ให้จมน้ำตาย
1
แต่โชคดีที่เหล่าขันทีมาช่วยว่าที่สุลต่านในอนาคตองค์นี้ได้ทัน ทำให้สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 4 รอดชีวิต หากแต่พระองค์ก็มีแผลเป็นบนพระเศียร
2
อีกเรื่องหนึ่งที่ร่ำลือก็คือ สุลต่านอิบราฮิมที่ 1 ทรงโปรดขนสัตว์เป็นอย่างมาก โดยพระองค์ทรงตกแต่งฮาเรมของพระองค์ด้วยขนสัตว์ เพื่อที่ว่าเวลาที่พระองค์ทรงร่วมเพศจะได้สบาย ไม่เจ็บ และพระองค์ยังทรงให้แมวทรงเลี้ยงในพระราชวังใส่เสื้อขนสัตว์อีกด้วย
2
สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 4 (Mehmed IV)
และความโปรดปรานในขนสัตว์ของพระองค์นี้เอง เกือบทำให้จักรวรรดิอ็อตโตมันต้องล้มละลาย เนื่องจากพระองค์ทรงผลาญเงินจนเกลี้ยงท้องพระคลังไปซื้อขนสัตว์ และได้ทรงขึ้นภาษีเพื่อนำมาใช้จ่ายซื้อขนสัตว์และใช้ชีวิตอย่างหรูหรา อีกทั้งพระองค์ยังมีที่ปรึกษาชั่วช้า หวังแต่ผลประโยชน์ส่วนตัว รับสินบน และเป่าพระกรรณจนพระองค์หลงเชื่อ สั่งประหารขุนนางที่ซื่อสัตย์
4
ด้วยวีรกรรมต่างๆ ทำให้นักประวัติศาสตร์จัดให้พระองค์เป็นหนึ่งในผู้ปกครองที่แย่และโรคจิตที่สุดพระองค์หนึ่ง จนมีการถวายพระสมัญญานามให้พระองค์ว่า “อิบราฮิมผู้วิปลาส (Ibrahim the Mad)”
ในปีค.ศ.1648 (พ.ศ.2191) หลังจากครองอำนาจได้แปดปี พระองค์ก็ถูกโค่นล้มและปลงพระชนม์ด้วยการรัดพระศอจนสวรรคต ในขณะที่โกเซมสุลต่าน พระราชมารดาของพระองค์ ทอดพระเนตรการปลงพระชนม์ผ่านระเบียงพระราชวัง
2
โฆษณา