8 ม.ค. เวลา 07:14 • หนังสือ

บทเรียนจาก “เลิกเป็นคนดี แล้วจะมีความสุข” ตอนที่ 3

สวัสดีครับทุกท่าน จากที่ผมได้ถอดบทเรียนจากหนังสือเล่มนี้ มา 2 Ep. ณ ตอนนี้เราก็เดินทางมาถึง Ep. ที่ 3 ครับ ซึ่งเป็น Ep. สุดท้ายที่ผมจะถอดบทเรียนจากหนังสือเล่มนี้ครับ
ซึ่งบทเรียนที่ผมถอดมาทั้งหมด ตั้งแต่ Ep. แรก จนถึง Ep. นี้นั้น ผมต้องขอบอกว่า บทเรียนเหล่านี้ ไม่ใช่ทั้งหมด และก็ไม่ใช่ทุกอย่าง ของหนังสือเล่มนี้นะครับ
หนังสือเล่มนี้ ยังมีบทเรียนอีกหลายอย่าง ที่รอให้คุณไปค้นหามันด้วยตัวคุณเองครับ
ผมเพียงแต่ นำบทเรียนที่ผมชอบ และบทเรียนที่ผมสามารถนำมาปรับใช้กับชีวิตผมได้มากที่สุด มาแบ่งปันให้กับท่านผู้อ่านทุกๆท่านครับ
2
ถ้าหากท่านผู้ใดสนใจที่จะอ่าน Ep.แรก และ Ep.2 ก็สามารถกดที่ลิงก์นี้ได้เลยครับ
เอาล่ะครับ เรามาต่อกันอีก 3 หัวข้อ ที่ผมถอดบทเรียนมาได้ครับ เริ่มกันที่ข้อที่ 9 กันเลยครับ
9.) ทุกคนล้วนมีเหตุผลเป็นของตนเอง
การยึดมั่นว่าความคิดของเราถูกต้องนั้น แสดงถึงความมั่นใจในตัวเองได้ดีก็จริงครับ แต่ถ้าการยึดมั่นในความถูกต้องของเรา มันคือการยึดมั่นที่เราปิดหูปิดตา ไม่ฟังความคิดเห็นผู้อื่นเลย ถ้าความคิดเห็นใดต่างจากนี้ ถือว่าเป็นความคิดที่ผิดทั้งหมด ถ้าหากเป็นเช่นนี้ มันก็ดูจะจองหองไปหน่อยนะครับ
อย่าคิดว่าเราถูกเสมอครับ บางเหตุการณ์ อาทิ ในคลาสเรียนๆหนึ่ง มีเด็กคนหนึ่ง มาเรียนสายกว่าครึ่งชั่วโมง และเด็กคนนี้ ก็เป็นเด็กที่มาสายค่อนข้างบ่อย เพียงแต่ครั้งนี้ เป็นครั้งที่สายมากที่สุด อาจารย์จึงมีความคิดว่า เด็กคนนี้ไม่มีความรับผิดชอบเอาเสียเลย ไม่มีวินัย น่าจะตื่นสายแน่ๆ เลยมาสาย จึงทำการตำหนิ และต่อว่า ต่อให้เด็กคนนี้ จะบอกเล่าเหตุการณ์ที่เป็นความจริงอย่างไรก็ตาม อาจารย์ก็มองมันเป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้น
แท้จริงแล้ว เด็กที่มาสายนั้น เขามาสาย เนื่องจากบ้านไกล และรถติดทุกๆเช้า ส่วนในวันที่เขามาสายที่สุด เป็นเพราะเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์เล็กน้อย และทางผู้ปกครองของเขา ก็ได้ยืนเคลียร์กับคู่กรณีอยู่นาน จึงทำให้มาสาย เขาตื่นเช้ากว่าเด็กทั่วไปที่บ้านอยู่ใกล้ และตั้งใจที่จะรีบมาเรียนกว่าใคร แต่สุดท้ายก็ต้องมาสายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากที่พักอาศัยของเขา ดันอยู่ห่างไกลจากโรงเรียนมาก
แต่อาจารย์ กลับยึดมั่นในความคิดตนเอง จนทำให้เกิดความเข้าใจผิดในตัวตนที่แท้จริงของนักเรียน
บางครั้ง คนที่ยึดมั่นมากเกินไปว่าตัวเองถูกต้องอยู่เสมอ ก็เป็นคนที่น่าเป็นห่วงเอามากๆ เพราะ พวกเขามักจะพลาดความจริง และพลาดข่าวสารใหม่ๆ ข่าวสารซึ่ง
เป็นความจริง แต่ขัดกับความเชื่อแต่เดิมของเขา จึงทำให้เกิดการปิดการรับรู้ และเชื่อเพียงความเชื่อเดิมของตนเท่านั้น
10.) อยากได้อะไร ให้พูดเรื่องเหล่านั้นให้มากขึ้น
หนังสือเล่มนี้บอกกับผมว่า ถ้าเราพูด สนทนา เกี่ยวกับอะไรมากขึ้น เราก็จะทำสิ่งนั้นได้ดีขึ้น อาทิ ถ้าหากว่าคุณเพิ่งเริ่มออกกำลังกายเพื่อสร้างกล้ามเนื้อ ความรู้คุณยังแทบจะเป็นศูนย์ ว่าคุณต้องออกกำลังกายท่าไหนบ้าง ต้องกินอย่างไร หรือ ควรออกกำลังกายกี่ครั้งต่อสัปดาห์
คุณควรจะเริ่มบทสนทนากับผู้ประสบความสำเร็จในด้านนี้ หรือผู้ที่มีประสบการณ์ในด้านนี้ เมื่อคุณได้คุยกับพวกเขาเหล่านั้น ก็จะได้ความรู้เรื่องวิธีการออกกำลังกาย ท่าออกกำลังกาย การกิน ซึ่งทำให้คุณ พัฒนาร่างกายไปสู่เป้าหมายได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
หากคุณพูดคุยเรื่องเงินกับผู้อื่นมากขึ้น ( แต่ต้องไม่ใช่การเผยรายได้ตนเองกับผู้อื่น หรือการขอเงินผู้อื่นนะครับ ) ซึ่งการพูดคุยเรื่องเงินที่ผมว่า ควรจะเป็น “คุณมีวิธีการประหยัดเงินอย่างไรบ้างครับ?“ ”หุ้นตัวไหนที่น่าลงทุนบ้างครับ?“ หรือ ”คุณคิดว่าทำไมสินค้าตัวนี้ จึงขายดีในช่วงนี้กันครับ?“
การพูดคุยเรื่องเงิน ที่ผมกล่าวมานี้ จะช่วยให้คุณได้รับมุมมองเกี่ยวกับการประหยัดเงิน การลงทุน ใหม่ๆ ที่อาจเป็นความรู้ที่นำไปใช้กับแผนการเงินของคุณได้
11.) อย่ายอมในเรื่องที่ทำให้เราเสียเปรียบ
ผมเคยเข้าร้านตัดผม และบอกกับช่างตัดผมว่า “ขอรองทรงต่ำครับ และเอาผมข้างบนออกเพียงเล็กน้อยพอครับ” พอตัดไปเรื่อยๆ ช่างตัดผมก็เล็มผมออกมากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ผมไม่กล้าที่จะขัดระหว่างที่ช่างกำลังตัดผม ในที่สุด ผมยาวๆของผม ก็สั้นลงเยอะกว่าที่ผมคิดเลยครับ สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นสิ่งที่เราเรียกร้องได้ระหว่างกำลังตัดผม แต่ด้วยความที่ไม่กล้าที่จะเรียกร้อง จึงทำให้ผลที่ออกมาเป็นสิ่งที่เราไม่ค่อยจะถูกใจมันสักเท่าไหร่
หนังสือเล่มนี้อยากให้คุณกล้าที่จะเรียกร้อง เนื่องจากเราเป็นลูกค้า เป็นคนจ่ายเงินเพื่อรับการบริการ เรามีสิทธิ์ตรงนี้แน่นอน แต่บางคน เช่น ผมเอง ก็อาจจะกลัวว่าจะไปขัดจังหวะ หรือกลัวเขาจะหาว่า เราเรื่องมากจัง
นอกจากเรื่องดังกล่าวนี้แล้ว ผมยังเคยสั่งกาแฟที่ร้านอาหารร้านนึง แต่เมื่อพนักงานนำมาเสิร์ฟ มันคือ โกโก้เย็น ผมจึงบอกว่า “ผมสั่งกาแฟไปนะครับ” ทางร้านจึงกลับไปชงอีกรอบหนึ่ง พอกลับมาเสิร์ฟ ผมได้ชาไทยครับ
ซึ่งผมเอง ก็รู้สึกเกรงใจไม่อยากให้ทางร้านกลับไปทำอีกรอบ จึงยอมรับประทานไป แต่สิ่งนี้ ก็ทำให้ผมเกิดความเสียเปรียบขึ้น โดยผมลืมที่จะตระหนักว่า ผมเป็นลูกค้า ผมเป็นคนจ่ายเงิน ผมมีสิทธิ์ที่จะได้รับบริการ ตามที่ผมขอ แต่สิ่งที่ได้คือความผิดพลาดในการบริการ ที่ผมสามารถเรียกร้องได้แน่นอน แต่ด้วยความเห็นใจ เกรงใจ ก็ทำให้ผมต้องจ่ายเงิน และรับการบริการในแบบที่ผมไม่ได้ต้องการ
ดังนั้น อย่าเกรงใจ หรือกลัวเขาจะคิดว่าคุณเรื่องมากเลยนะครับ หากการบริการ ไม่เป็นไปตามที่คุณต้องการ ก็ให้เรียกร้องได้เลยครับ อย่าให้ความเกรงใจ ความคิดมาก กลัวเขาเอาไปนินทาบ้าง กลัวเขาจะว่าเราเรื่องมากบ้าง มาทำให้คุณได้รับบริการอย่างเสียเปรียบ และไม่คุ้มค่ากับเงินที่คุณได้จ่ายไปเลยครับ
ก็จบกันไปแล้วนะครับ กับ Ep.ที่ 3 ซึ่งเป็น Ep.สุดท้าย สำหรับ “เลิกเป็นคนดี แล้วจะมีความสุข” ทางผมก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า บทเรียนเหล่านี้ จะเป็นประโยชน์ต่อท่านผู้อ่าน ไม่มากก็น้อย นะครับ
หากมีข้อผิดพลาดประการใด ทางผู้เขียนต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ และทางผู้เขียนก็พร้อมที่จะรับคำติชม คำแนะนำต่างๆ เพื่อนำไปปรับปรุงให้ดีขึ้นครับ
ขอบคุณครับ
โฆษณา