8 ม.ค. 2024 เวลา 11:58 • หนังสือ

ความรักหรือแค่รู้สึกเหนือกว่า - การตัดสินใจครั้งแล้วครั้งเล่าว่าใครคือคนที่เรารัก

เป็นปกติที่ช่วงเวลาต้นปีเราจะเริ่มใช้ชีวิตด้วยการทำอะไรสักอย่างที่เรารัก ฉันเป็นคนที่ชื่นชอบในการอ่าน แต่ถ้าเทียบจริงๆ ก็คงไม่ถึงกับจัดอยู่ในขั้นหนอนหนังสือ เพียงแค่อ่านเป็นงานอดิเรกบ้างในบางเวลาที่ไม่รู้สึกอยากเสพหนัง ซีรีส์ หรือสารคดีอะไรทำนองนั้น
หนังสือเล่มแรกที่หยิบมาอ่านในต้นปี ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ฉันหยิบ เล่มสีน้ำเงินจากกองดอกขึ้นมา หน้าปกมี Headline สีขาวเด่นหราว่า Conversation with friends บอกตามตรงว่าไม่เคยฟังรีวิว ไม่เคยรับรู้อะไรมาก่อนเลยเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ ที่ซื้อมาก็เพราะเห็นว่ามีแก้วไวน์บนหน้าปก ซึ่งฉันเองก็เป็นนักดื่มอยู่พอดีเลยตัดสินใจซื้อมาแบบผ่านๆ
แต่หลังจากที่ได้เปิดหน้าแรกและได้เริ่มท่องเที่ยวลงไปในนั้น ด้วยอะไรบุคลิกที่คล้ายกันกับตัวละคร หรือทักษะการเล่าเรื่องอย่างเหนือชั้น ตัวฉันก็ค่อยๆ เข้าใจว่าตัวเองคือ ‘ฟรานเซส’ ที่กำลังดำเนินเรื่องในหนังสือเล่มนั้นทันที
ฉันใช้เวลาเพียงวันเดียวในการจินตนาการว่าตัวเองได้เริ่มต้นสัมพันธ์ต้องห้ามกับนิก และพยายามนึกหน้าของนิกในหัวว่าเขาต้องหล่อขนาดไหน จึงทำให้ฟรานเซสยอมสูญเสียตัวตนไปได้มากมายขนาดนั้น
และหลังจากอ่านจบฉันก็คิดทันทีว่าฉันต้องลงมือเขียนถึงมันบางอย่าง เพื่อขจัดเอาความรู้สึกและเรื่องราวที่ขดเป็นปมออกไปจากหัว
ความสัมพันธ์ของคน 4 คน ที่เริ่มต้นจากความประทับใจจากแรงดึงดูดบางอย่าง ไม่ว่าจะหน้าตา เสน่หา หรือแม้แต่ความรู้สึกที่อยากจะเหนือกว่า ฉันรู้สึกด้วยตัวเองว่าแท้จริงแล้ว มนุษย์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่เห็นแก่ตัว เราชื่นชอบและมีความสุขเมื่อรู้ว่าตัวเองได้อยู่เหนือห่วงโซ่อาหาร
ในการเขียนครั้งนี้ฉันยอมรับว่าตัวเองไม่ได้อยากเขียนถึงบ็อบบี้และเมลิสซามากนัก เขาเป็น 2 ตัวละครที่ฉันแทบไม่ได้ให้ความสำคัญ ติดไปทางหมั่นไส้บางๆ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะฉันฝังหัวไว้ตั้งแต่แรกว่าตัวเองคือฟรานเซส ฉันจึงอยากตกตะกอนออกมาได้แค่สิ่งที่ฉันมีต่อนิกและตัวเองเท่านั้น
นิก หนุ่มนักแสดงในวัย 30 กว่าปี ที่ได้แต่งงานกับช่างภาพสาว ที่ชื่อว่า เมลิสซา ฉันจำไม่ได้ว่าคำบรรยายของเมลิสซาเป็นยังไง แต่ติดภาพจำไว้ว่าน่าจะเป็นผู้หญิงเท่ๆ ทำงานเก่ง และติสต์จัด
แวบแรกที่ได้อ่าน ฉันเองก็เกิดความรู้สึกอิจฉาเมลิสซาขึ้นมาเองดื้อๆ หญิงสาวที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็โดดเด่น แต่กลับมาสร้างความสนิทสนมกับวัยรุ่นที่ยังเรียนไม่จบ เพราะเธอชื่นชอบในงานเขียนของฟรานเซสจริงไหมก็ไม่รู้ หรือเพราะที่จริงเธอแค่เห็นภาพซ้อนทับอะไรบางอย่างจากตัวตนของฟรานเซส ซึ่งอาจเป็นตัวตนที่เธอเองอยากจะเป็นเหมือนกันอยู่ลึกๆ
แต่ที่แน่ๆ คือเมลิสซาคือภรรยาของนิก คนที่มีเคมีบางอย่างที่ดึงดูดฟรานเซสได้อยู่หมัด เพียงเพราะการเริ่มต้นบทสนทนาที่เขาบอกว่า เขาหลงใหลในบทกวี หลังจากนั้นความแนบชิดก็ค่อยๆ เกิดขึ้นอย่างที่หลายคนน่าจะจินตนาการออก
นิกอาจจะขาดแคลนบางอย่างจากชีวิตแต่งงานกับเมลิสซา และฟรานเซสก็มีส่วนนั้นที่มอบให้กับเขาได้
แล้วความรู้สึกเหนือกว่าในใจของนิกคืออะไรกันแน่ เขาบอกกับทุกคนว่าเขาชอบคนที่ฉลาดแต่ฉันว่าเมลิสซาก็ดูไม่น่าจะโง่กว่าฟรานเซสเท่าไร หรือจริงๆ แล้วเขาหาคนที่จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับชีวิตรักที่ไม่ได้ดั่งใจในวัย 30 กว่า นี่มันสูตรสำเร็จของการมีน้อยชัดๆ
แต่กับฟรานเซส สำหรับฉัน มันเป็นปกติของวัยรุ่นที่อายุ 21 ที่อยากจะพรีเซนต์ความเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งอาจจะมาจากความต้องการในใจลึกๆ แต่เพราะเคยผ่านมาเหมือนกัน ส่วนหนึ่งฉันก็เลยพอจะคิดได้ว่ามันมาจากความคิดที่อยากจะพิเศษกว่าคนอื่น และก็ดันเป็นนิกที่ทำให้เกิดความรู้สึกเช่นนั้นขึ้นมา
มีบทสนทนามากมายที่ฉันพับหน้ากระดาษเอาไว้เพื่อจะมาอ่านซ้ำอีกทีหลัง โดยเฉพาะจูบแรกของทั้งคู่ที่เกิดขึ้นในงานวันเกิดของเมลิสซา ฉันจินตนาการฉากนั้นขึ้นมาในหัวชัดเจนตั้งแต่การเสียงเพลง Retrograde เล่นขึ้นมา
ภาพของที่นิกถือขวดเบียร์ชิดเข้าไปที่หน้าของฟรานเซส ยอมรับตามตรงว่าถึงกับเอาขวดเบียร์ช้างข้างๆ ขึ้นมาแนบแก้มตาม เพื่อจะเข้าใจความเย็นอย่างน่าอัศจรรย์ที่ฟรานเซสได้บอกไว้มันเป็นยังไง
จากจูบแรกที่เกิดขึ้นในสถานที่ต้องห้าม ทั้งคู่ก็ได้มีโอกาสพูดคุยกันเรื่อยๆ จนถึงขั้นของการนัดเจอกันหลังจากนั้น
อีกสถานที่ที่ขับเคลื่อนให้ความสัมพันธ์มันฝังรากลึก ก็คือบ้านตากอากาศที่ฝรั่งเศส ซึ่งทั้ง 4 คนและเพื่อนของเมลิสซาได้มาใช้เวลาร่วมกัน มันก็ทำให้ฉันรับรู้ได้อีกครั้งว่ามันอาจไม่ใช่แค่ความรู้สึกเหนือกว่าอีกต่อไปก็ได้
สำหรับฉันที่สวมวิญญาณของฟรานเซสเอาไว้
มองความสัมพันธ์นี้ว่านิก คือ คนที่ทำให้เธอได้เรียนรู้รสชาติของความเสน่หาต้องห้าม เพราะครอบครัวที่พ่อไม่ได้เป็นผู้นำ อาจสร้างภาพจำบางอย่าง เขาถึงบอกว่าลูกสาวมักจะตกหลุมรักคนที่เหมือนพ่อแม้ว่าเขาจะไม่ได้เรื่องก็ตาม
บทสรุปของความสัมพันธ์ครั้งนี้ก็จบอย่างที่ปลายเปิดให้เราจินตนาการไปถึงการใช้ชีวิตต่อของพวกเขา แม้เมลิสซาจะรับรู้รักต้องห้าม และนิกกับฟรานเซสที่ตัดสินใจเลิกรากันไปครั้งหนึ่ง ในหน้าสุดท้ายของหนังสือจะไม่ได้บอกว่านิกขับรถมาหาฟรานเซสตามความรู้สึกที่ได้บอกกับเธอหรือไม่
หลังจากที่อ่านเล่มนี้จบ ชื่อของรูนีย์ก็ชัดขึ้นในหัวจนต้องกดหาข้อมูลว่ามีเรื่องอื่นๆ ที่นักเขียนคนนี้เคยฝากผลงานไว้อีกหรือไม่ ซึ่งก็น่าอายมากที่ฉันไม่รู้จักเขามาก่อน ทั้งๆ ที่หลายคนบอกว่าเธอยอดเยี่ยมแค่ไหน
ทักษะการเล่าเรื่องที่ที่บางคนอาจจะคิดว่ามันก็ตามสูตรเรื่องโรแมนซ์ทั่วไป แต่เธอกับเขย่าปมให้มันร่วมสมัย และแทรกเรื่องราวไบเซ็กซ์ชวล ทุนนิยม มิตรภาพ ครอบครัว ความรัก ความกำหนัด หรือแม้แต่การปวดท้องประจำเดือนเข้าใจได้อย่างเห็นภาพ
สิ่งที่โดดเด่นอย่างมากคือการเล่าบทสนทนาที่เกิดขึ้นราวกับเราเข้าไปอยู่ในสถานที่นั้น ซึ่งก็มีตั้งแต่บทสนทนาที่เข้าใจง่าย และการปิดท้ายด้วยการเปรียบเปรยที่ทิ้งให้เราอาจต้องตีความต่อเอาเองภายหลัง รวมถึง Mood และบรรยากาศของความเศร้าเจือจาง
อีกอย่างที่รูนีย์ทำได้เฉียบขาด คือการแยกตัวเองจากฐานะของผู้พิพากษา เธอให้คนอ่านเป็นคนตัดสินตัวละครได้ตามใจ เธอเพียงแค่บอกมุมมองที่แต่ละตัวคิด และรู้สึกออกมา และทิ้งหน้าที่นั้นไว้ให้กับนักอ่านที่จะไปคิดต่อกันเองว่าจะตัดสิน หรือวิจารณ์ตัวละครเหล่านั้นยังไง
แต่เชื่อเถอะว่าพออ่านๆ ไป เราจะเข้าใจถึงเหตุและผลที่พวกเขาทำ แต่ถึงอย่างนั้นการเข้าใจก็ไม่ได้หมายความถึงการยอมรับได้หรือเห็นด้วยตามบทสรุปเหล่านั้น มันเป็นหนังสือเล่มที่ดีเล่มหนึ่งที่อยากจะพูดคุยกับคนที่อ่านมันมาเช่นกัน เพราะฉันเชื่อว่ามุมมองที่มีต่อมันจะถูกปรับเข้ากับความคิดที่แสนปัจเจกของแต่ละคน
โฆษณา