23 ม.ค. เวลา 12:00 • อาหาร
Rimping Supermarket NimCity Branch

Tabasco sauce กับเอกลักษณ์ในรสชาติและคุณภาพที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงกว่า 150 ปี

The Story of Tabasco
ย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 1868 Edmund McIlhenny (เอ็ดมันด์ แม็คอิลเฮ็นนี) อดีตนายธนาคารจากรัฐแมริแลนด์ ประเทศสหรัฐอเมริกา (ผู้คิดค้น Tabasco sauce) ได้ย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ที่เกาะเอเวอรี่ (Avery Island) รัฐหลุยเซียน่า แต่ทว่าพอย้ายมาอยู่ที่นี่แล้วรสชาติอาหารกลับมีความจืดชืดไม่ค่อยถูกปากเท่าไหร่ เขาจึงเกิดไอเดียทำซอสพริกขึ้นมา เพื่อปรุงแต่งรสชาติอาหารให้มีความจัดจ้านมากยิ่งขึ้น
โดยเอ็ดมันด์ได้นำเมล็ดพริก Capsicum frutescens หรือพริกทาบาสโก้รุ่นแรก ซึ่งได้รับมาจากเม็กซิโก มาเพาะบนเกาะเอเวอรี่ (Avery Island) และด้วยความที่เขาเป็นคนหลงไหลในเรื่องอาหารและชอบทำสวน เขาจึงเอาใจใส่ และดูแลพริกของเขาเป็นอย่างดี ตั้งแต่การเตรียมดิน การดูแลรดน้ำ และเมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยวเขาก็จะใช้ Red stick (แท่งวัดระดับความสุกของพริก) มาวัดความสุก เพื่อให้พริกของเขามีระดับความสุกที่เหมาะสม (ซึ่งเทคนิคนี้ยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน)
ในระยะแรกเอ็ดมันด์ นำซอสทาบาสโก้บรรจุใส่ขวดแก้วทรงกระบอกคอยาวที่ใช้แล้ว เพื่อส่งให้เพื่อน และคนในครอบครัวได้ชิม ผลปรากฏว่าเมื่อได้ชิมแล้วเพื่อนและคนในครอบครัวของเขาชื่นชอบมาก ในเวลาต่อมาเขาจึงสั่งผลิตขวดแก้วใหม่ เพื่อใช้บรรจุซอสทาบาสโก้ขาย โดยขณะนั้นเขาผลิตซอสได้ 658 ขวด และขายในราคาขวดละ 1 ดอลลาร์ ซึ่งขายส่งให้กับร้านขายของชำและร้านอาหารทั่วเกาะเอเวอรี่ (Avery Island) จนได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยปัจจุบันขวดแก้วทรงกระบอกคอยาวก็ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของ Tabasco sauce มาเป็นเวลากว่า 150 ปี
เมื่อความนิยมเพิ่มขึ้นต่อมาในปี 1870 เขาจึงจดสิทธิบัตร และก่อตั้งบริษัท Tabasco ขึ้นมาบนเกาะเอเวอรี่ (Avery Island) ซึ่งปัจจุบันที่แห่งนี้ยังคงเป็นที่พัฒนาสูตรซอสพริกแดงต้นตำรับ Tabasco ที่สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่นของตระกูล McIlhenny จนถึงทุกวันนี้ บริษัทยังคงเป็นของครอบครัวคุณเอ็ดมันด์ โดยกระบวนการผลิตซอสพริก Tabasco ยังคงตำหรับดั้งเดิมโดยแท้ แม้เวลาจะผ่านไปราว ๆ กว่าหนึ่งศตวรรษ
ต่อมาในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ซอสทาบาสโกได้แผ่ขยายไปยังยุโรป ซึ่งเชฟ พ่อครัว แม่ครัว บาร์เทนเดอร์ และคนรักอาหารต่างก็ยอมรับ ใช้ในการปรุงรสอาหารหลากหลายประเภท ตั้งแต่ ซุป สตูว์ ซอสหมัก หรือซอสทานคู่กับอาหารทะเล รวมไปถึงใช้เป็นส่วนผสมในค๊อกเทลอย่าง Bloody Mary และวอดก้าบางชนิด
นอกจากนี้ซอสพริกทาบาสโก้ยังเข้ากันได้ดีกับอาหารไทยหลากหลากชนิด สามารถจิ้มหรือปรุงรสในอาหารได้เหมือนกับซอสทั่วไป ไม่ว่าจะราดบนก๋วยเตี่ยวคั่วไก่ ราดบนไข่เจียว เป็นซอสสำหรับไก่ทอด นักเก็ต และเฟรนช์ฟรายก็ได้เช่นกัน ถือเป็นซอสอเนกประสงค์ที่สามารถใช้ควบคู่กับซอสมะเขือเทศ หรือมายองเนสได้เลยค่ะ
เอกลักษณ์ของซอสทาบาสโก้คือพริกทุกเม็ดจะถูกเก็บด้วยมือ เพื่อให้มั่นใจว่าสุกในระดับที่เหมาะสม คนงานจะต้องนำพริก ที่เก็บมาเทียบกับไม้ที่ทาสีแดง (Red stick) หลังจากที่ได้พริกที่สุกพอดีแล้ว พริกเหล่านี้จะถูกบดทันทีในวันที่เก็บ และนำไปหมักเกลือ โดยเกลือที่ใช้เป็นเกลือที่ผลิตจากเหมืองเกลือบนเกาะเอเวอรี่ (Avery Island) ซึ่งเป็นหนึ่งในเหมืองเกลือที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา
หลังจากนั้นส่วนผสมจะถูกหมักในถังไม้โอ๊ค ที่เกาะเอเวอรี่ (Avery Island) ประมาณ 3 ปี ก่อนที่จะถูกกรองเมล็ดและผิวออก น้ำของพริกที่ได้นั้นจะถูกนำไปผสมกับน้ำส้มสายชู และคนอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 1 เดือน จากนั้นถึงจะบรรจุใส่ขวดก่อนส่งจำหน่าย
ปัจจุบันซอสทาบาสโก้มีวางจำหน่ายกว่า 195 ประเทศทั่วโลก และมีการติดฉลากภาษาต่าง ๆ รวมถึงภาษาถิ่นรวม 36 ภาษา มีการพัฒนาขึ้นมาหลากหลายรูปแบบทั้งเผ็ดน้อย เผ็ดกลาง และเผ็ดมาก
สามารถหาซื้อ ซอสทาบาสโก้ (Tabasco sauce) ได้ที่ริมปิงทุกสาขานะคะ
โฆษณา