13 ม.ค. เวลา 04:49 • ประวัติศาสตร์

การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่รุนแรงที่สุดในโลกมีจุดเริ่มต้นจาก “ยุโรป”

หากพูดถึง “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” หลายคนอาจจะนึกถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
หากแต่อันที่จริง การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่รุนแรงที่สุดนั้นเกิดกับชาวอเมริกันพื้นเมือง
3
ระหว่างค.ศ.1492-1700 (พ.ศ.2035-2243) ชาวยุโรปได้ทำให้จำนวนประชากรชาวอเมริกันพื้นเมืองลดลงไปถึง 95% จาก 145 ล้านคน เหลือเพียงเจ็ดล้านคนเท่านั้น
5
ในเวลาเพียงสองศตวรรษ ชนเผ่าพื้นเมืองในอเมริกาเสียชีวิตไปกว่า 138 ล้านคน
3
คำถามต่อมาก็คือ ยุโรปทำได้อย่างไร?
ที่ผ่านมา ยุโรปก็ใช้ยุทธวิธีที่ใช้กันปกติในยามสงคราม ก็เช่น
-การสังหาร
2
-จับเป็นทาส
-ความอดอยาก
หากแต่ยุทธวิธีเพียงเท่านี้คงไม่สามารถสังหารผู้คนได้เป็นจำนวนนับ 100 ล้านทั่วทั้งทวีปได้ แต่สิ่งที่สามารถสังหารคนได้เป็นวงกว้างและรวดเร็ว นั่นก็คือ “โรคระบาด”
2
โรคระบาดที่ติดต่อและร้ายแรงในเวลานั้น ก็เช่น ไข้ทรพิษ โดยไข้ทรพิษนั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้ชนพื้นเมืองอเมริกันกว่า 90% เสียชีวิต
3
ในประวัติศาสตร์นั้น ชาวยุโรปได้เผชิญกับโรคระบาดมาแล้วหลากหลาย เช่น ไข้ทรพิษ โรคหัด ไข้หวัดใหญ่ ไข้เหลือง หรืออหิวาตกโรค เป็นต้น
1
โรคระบาดเหล่านี้ทำให้ชาวยุโรปเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก แต่ผู้ที่รอดชีวิตก็มีภูมิคุ้มกัน เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในเหล่าชาวยุโรป
1
แต่ถึงอย่างนั้น ชาวยุโรปเหล่านี้ก็สามารถเป็นพาหะของโรค หากแต่พวกเขาก็ไม่ได้ล้มป่วยถึงตายเช่นในอดีต
ในอีกด้านหนึ่งของมหาสมุทรแอตแลนติก ชนเผ่าอินเดียนพื้นเมืองนั้นอยู่กันเป็นชุมชนเล็กๆ ในชุมชนที่ห่างไกลและเงียบสงบ
ชนเผ่าพื้นเมืองเหล่านี้ไม่ได้ติดต่อค้าขายกับดินแดนห่างไกลมากเท่ากับชาวยุโรป ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ใช่พาหะของโรค อีกทั้งพวกเขาก็เลี้ยงสัตว์เพียงไม่กี่ชนิด เช่น ลามะ ไก่งวง หรือสุนัข เป็นต้น ดังนั้นโอกาสที่พวกเขาจะติดเชื้อต่างๆ จากสัตว์ก็เป็นไปได้น้อยกว่า
ดังนั้นเมื่อ “คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (Christopher Columbus)” เดินทางมาถึงแผ่นดินอเมริกาในปีค.ศ.1492 (พ.ศ.2035) โคลัมบัสก็ได้นำหายนะเข้ามาด้วย
1
ร่างกายของชนเผ่าพื้นเมืองนั้นไม่ได้มีภูมิคุ้มกันเหมือนชาวยุโรป ไม่สามารถต้านทานโรคต่างๆ จากยุโรปได้ ดังนั้นจึงนับว่าเสี่ยงมาก
คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (Christopher Columbus)
ชาวยุโรปที่เข้ามานี้ก็ไม่ได้เพียงแต่เข้ามาเผยแพร่ศาสนาเท่านั้น แต่ยังนำโรคระบาดต่างๆ เช่น ไข้ทรพิษ มาลาเรีย ไข้หวัดใหญ่ อหิวาตกโรค เข้ามาด้วย
1
หลายคนเคยตั้งคำถามว่าเหตุใดกองกำลังของ “ฟรันซิสโก ปิซาร์โร (Francisco Pizarro)” ที่มีคนเพียง 3,000 คนจึงสามารถยึดครองจักรวรรดิอินคาที่มีคนกว่า 10 ล้านคนได้
2
หรือ “เอร์นัน กอร์เตส (Hernan Cortes)” ทำอย่างไรจึงสามารถใช้กำลังคนเพียง 3,000 คนพิชิตจักรวรรดิแอซเท็กที่มีประชากรกว่าหกล้านคนได้
2
นอกจากความก้าวหน้าทางการทหารของฝ่ายสเปนแล้ว “โรคระบาด” คืออีกหนึ่งอาวุธลับที่ใช้ทำลายจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ทั้งสองแห่ง
1
ตุลาคม ค.ศ.1520 (พ.ศ.2063) การระบาดของไข้ทรพิษในเตนอชตีตลัน เมืองหลวงของจักรวรรดิแอซเท็ก ทำให้ประชากรในเมืองกว่า 50% เสียชีวิต รวมทั้งองค์จักรพรรดิก็สวรรคตเพราะโรคระบาดเช่นกัน
1
หลังจากจักรวรรดิแอซเท็กล่มสลาย โรคระบาดก็ได้คร่าชีวิตชนเผ่าพื้นเมืองในเม็กซิโกไปกว่า 15 ล้านคนภายในเวลาเพียงห้าปี นั่นคือตั้งแต่ค.ศ.1545-1550 (พ.ศ.2088-2093)
ภายในเวลาไม่กี่ปี ไข้ทรพิษก็ได้คร่าชีวิตชาวอินคาไปกว่า 90% ซึ่งหากไม่มีไข้ทรพิษ ก็คงเป็นการยากที่สเปนจะพิชิตจักรวรรดิทั้งสองลงได้
1
หากศึกษาประวัติศาสตร์ของโรคระบาดในยุโรปและเอเชีย จะพบว่าจำนวนประชากรนั้นมีการเพิ่มสูงขึ้นในช่วงระยะเวลาไม่กี่รุ่น หากแต่เหตุการณ์นี้กลับไม่เกิดขึ้นในอเมริกา
3
เหตุผลก็เนื่องจากความร้ายแรงของโรคระบาดและความโหดร้ายของยุโรป ทำให้ประชากรไม่สามารถฟื้นตัวได้
1
ในสมัยศตวรรษที่ 16 โรคระบาดได้คร่าชีวิตชนเผ่าพื้นเมืองไปกว่า 90% ที่เหลือก็ถูกสังหารและความอดอยากทำลายชีวิต โดยเชื่อกันว่าตั้งแต่ปีค.ศ.1900 (พ.ศ.2443) เป็นต้นมา 98% ของชนเผ่าพื้นเมืองในสหรัฐอเมริกาได้หายไปหมดแล้ว
1
ตอนที่โคลัมบัสมาถึงเกาะฮิสปันโยลาในปีค.ศ.1492 (พ.ศ.2035) ชนเผ่าไทโน ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองบนเกาะ มีประชากรประมาณ 500,000 คน แต่เมื่อถึงค.ศ.1514 (พ.ศ.2057) ชนเผ่าไทโนเหลือจำนวนประชากรไม่เกิน 32,000 คน และเมื่อถึงค.ศ.1550 (พ.ศ.2093) ก็เหลือเพียง 500 คน
1
ดังนั้นหากนับรวมจำนวนผู้เสียชีวิตเนื่องจากการสำรวจและขยายอำนาจของยุโรป จะอยู่ที่ประมาณ 138 ล้านคนเลยทีเดียว ซึ่งมากกว่าการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งใดๆ
1
ที่สหรัฐอเมริกา รัฐแคลิฟอร์เนีย จะเห็นได้ว่าทุกวันนี้แคลิฟอร์เนียคือหนึ่งในรัฐที่ร่ำรวยเป็นอันดับต้นๆ ของสหรัฐอเมริกา เป็นเสมือนบ้านของธุรกิจเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Apple และ Google
แต่ก่อนที่จะมีการตั้งอาณานิคมอเมริกาในแคลิฟอร์เนียในปีค.ศ.1845 (พ.ศ.2388) มีชนเผ่าพื้นเมืองอาศัยอยู่ในแคลิฟอร์เนียราว 300,000 คน
2
ในเวลาเพียงห้าปี เมื่อถึงค.ศ.1850 (พ.ศ.2393) โรคระบาดก็ได้คร่าชีวิตชนเผ่าไปกว่าครึ่งหนึ่ง คือมากกว่า 150,000 คนเลยทีเดียว
เมื่อถึงค.ศ.1890 (พ.ศ.2433) จำนวนประชากรชนเผ่าพื้นเมืองในแคลิฟอร์เนียก็เหลือเพียง 20,000 คน
2
นี่ก็เป็นประวัติศาสตร์ที่น่าหดหู่บทหนึ่งในอดีต และอาจจะมีหลายสิ่งที่สามารถเรียนรู้ได้จากเหตุการณ์เหล่านี้
โฆษณา