17 ม.ค. เวลา 23:00 • ธุรกิจ

เรื่องราวการลงทุนใน See's Candies ที่ประสบความสำเร็จของปู่ชาร์ลี มังเกอร์

ชาร์ลี มังเกอร์ หนึ่งในนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก เป็นที่รู้จักในฐานะคู่หูของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ในการกุมบังเหียนบริษัท Berkshire Hathaway
และหนึ่งในการลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของ Berkshire Hathaway นั่นก็คือ การซื้อกิจการ See's Candies ในปี 1972 นำโดยชาร์ลี มังเกอร์
See's Candies ถูกก่อตั้งโดยชาร์ลส์ ซี ในปี 1921 โดยร้านค้าแห่งแรกตั้งอยู่ในลอสแอนเจลิส โดยขายช็อกโกแลตสูตรดั้งเดิมของแมรี่ ซี ผู้เป็นมารดาของเขา หลังจากนั้นจึงได้ขยายสาขาไปทั่วรัฐแคลิฟอร์เนีย
See's Candies เป็นหนึ่งในธุรกิจแรกๆ ที่ Berkshire เข้าไปซื้อและเป็นเจ้าของทั้งหมด อีกทั้งยังเป็นการลงทุนครั้งแรกๆที่ชาร์ลี มังเกอร์ โน้มน้าวให้กับวอร์เรน บัฟเฟตต์อีกด้วย
โดยในช่วงปลายปี 1971 ชาร์ลี มังเกอร์ และวอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้ทราบว่า See's Candies ซึ่งเป็นผู้ผลิตและผู้ค้าปลีกช็อกโกแลตชนิดบรรจุกล่องในชายฝั่งตะวันตกกำลังอยู่ในสถานการณ์ตกที่นั่งลำบาก
ผู้ขายต้องการขายธุรกิจนี้ในจำนวนเงิน 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งตอนนั้นชาร์ลี มังเกอร์ ได้คิดว่านั่นเป็นราคาที่สมเหตุสมผลแล้ว เมื่อพิจารณาจากตำแหน่งทางการแข่งขัน
ในทางกลับกันวอร์เรน บัฟเฟตต์ เขากลับรู้สึกไม่พอใจกับราคาดังกล่าว เนื่องจากบัฟเฟตต์ในสมัยนั้นเคยชินกับการซื้อธุรกิจราคาถูกสุดๆเท่าที่จะเป็นไปได้
เขาเลยรู้สึกไม่สบายใจที่จะซื้อธุรกิจนี้ในราคาที่สูงกว่ารายได้ 10 เท่าและสูงกว่ามูลค่าตามบัญชี 3 เท่า (ตัวเลข ณ ช่วงเวลานั้น)
แต่ชาร์ลี มังเกอร์ เขาได้ยืนหยัดในความคิดของเขาและกล่าวประมาณว่า ด้วยตำแหน่งทางธุรกิจของ See's Candies ที่แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่มีใครไม่รู้จักร้านช็อกโกแลตนี้ในรัฐแคลิฟอร์เนีย
เขายังกล่าวต่ออีกว่า แทบเป็นไปไม่ได้อีกเช่นกันหากจะแข่งขันกับแบรนด์นี้ในรัฐแคลิฟอร์เนียได้ โดยไม่ต้องทุ่มเงินจำนวนมหาศาล
อย่างไรก็ดี วอร์เรน บัฟเฟตต์ ก็ได้สรุปว่าเขาไม่เต็มใจที่จะจ่ายเงินมากกว่า 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับธุรกิจนี้
การเจรจาต่อรองจึงได้เกิดขึ้นในช่วงต้นปี 1972 และเป็นผลสำเร็จผู้ขายตกลงที่จะขายธุรกิจของ See's Candies ทั้งหมดให้กับ Berkshire Hathaway ในราคา 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
1
ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง หลังจากการเข้าซื้อสิ้นสุดลง See's Candies ได้กลายเป็นธุรกิจแฟรนไชส์แห่งแรกที่สามารถทำผลกำไรให้แก่ Berkshire ได้เป็นจำนวนมหาศาล โดยสามารถทำได้มากกว่า 8,000% หรือประมาณ 160% ต่อปี นับตั้งแต่ปี 1972 ที่เข้าซื้อกิจการ
1
ครั้งนี้เราเลยจะมาสำรวจความคิดและวิสัยทัศน์ของชาร์ลี มังเกอร์กัน
ว่าอะไรคือ สิ่งที่ทำให้พ่อมดแห่งโลกการลงทุนอย่างชาร์ลี มังเกอร์ เชื่อมั่นและสนใจในบริษัทขายช็อกโกแลตและขนมขบเคี้ยวอย่าง See's Candies จนต้องแนะนำและพยายามโน้มน้าวบริษัทนี้ให้กับวอร์เรน บัฟเฟตต์
ถึงขนาดที่ว่าหลังจากเข้าซื้อกิจการไปแล้ว วอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้ออกมาเปรียบเปรยไว้ว่า See's Candies ก็เปรียบเสมือนองุ่นเพียง 1% ในไร่องุ่นขนาด 80 เอเคอร์ในฝรั่งเศสที่เหมาะสำหรับการนำมาดื่ม
1
และยังเคยกล่าวไว้อีกว่า ถ้าไม่มีการเข้าซื้อ See's Candies ในครั้งนั้นก็คงไม่มีการลงทุนจำนวนมากในหุ้น Coca-Cola ในทุกวันนี้
  • แบรนด์ที่แข็งแกร่ง คือ สิ่งที่เตะตาชาร์ลี มังเกอร์ เข้าอย่างจัง
ชาร์ลี มังเกอร์ เขาอาศัยอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนียมาตั้งแต่ปี 1949 โดยตลอดเวลาที่เขาเติบโตมา เขาได้เห็นแล้วว่าช็อกโกแลตและขนมขบเคี้ยวของ See's Candies นั้นเป็นที่ต้องการมากน้อยแค่ไหน
อีกทั้งเขาได้สังเกตเห็นความได้เปรียบที่สำคัญในการแข่งขันของ See's Candies นั่นก็คือ ตัวแบรนด์ ซึ่งอย่างที่รู้กันว่า See's Candies เป็นบริษัทที่ขายช็อกโกแลตและขายมาตั้งแต่ปี 1921
1
พวกเขาใช้เวลานานกว่าหลายทศวรรษในการพัฒนาคำมั่นสัญญาต่อผู้บริโภค ที่ว่าพวกเขาจะนำเสนอช็อกโกแลตและขนมขบเคี้ยวคุณภาพสูง พร้อมบริการที่เป็นเลิศทุกครั้งที่ผู้บริโภคต้องการ จนกลายเป็นช็อกโกแลตยอดนิยมของคู่รักในวันวาเลนไทน์และวันสำคัญอื่นๆ
และเมื่อพิจารณาถึงมูลค่าของแบรนด์ที่แท้จริงแล้ว See's Candies ก่อตั้งมานานกว่าครึ่งศตวรรษ โดยมีผู้บริโภคหลายล้านคนในรัฐแคลิฟอร์เนียที่จงรักภักดี และชื่นชอบในสินค้าของพวกเขา
ทำให้แบรนด์มีอำนาจในการกำหนดราคา เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้มากขึ้น อีกทั้งรายได้ของบริษัทในรัฐแคลิฟอร์เนียในขณะนั้น ยังคิดเป็นเกือบ 80% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัท
เหตุผลนี้เองที่ทำให้ชาร์ลี มังเกอร์ เชื่อมั่นในตำแหน่งที่แข็งแกร่งของแบรนด์ในรัฐแคลิฟอร์เนีย
โดยสิ่งที่จะยืนยันความคิดนี้ของชาร์ลี มังเกอร์ ได้นั่นก็คือ หลังจากที่ Berkshire ได้เข้าซื้อ See's Candies ในปี 1972 แม้ทางแบรนด์จะมีการขึ้นราคาของช็อกโกแลตและขนมขบเคี้ยว แต่พวกเขากลับไม่ได้สูญเสียส่วนแบ่งการตลาดหรือลูกค้าของพวกเขาไปเลย
ที่มา Snowballinvesting
ที่มา Snowballinvesting
โดยสังเกตได้จากกำไรหลังหักภาษีที่เพิ่มขึ้นมากกว่ายอดขาย ซึ่งเป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายที่เติบโตช้ากว่ามากเมื่อเทียบกับรายได้ที่เพิ่มขึ้นของบริษัท
See's Candies จึงกลายเป็นคูน้ำคูเมืองที่ยอดเยื่อมของ Berkshire Hathaway
นอกจากนี้การที่บริษัทมีผู้นำทัพเก่งนั้นก็ถือได้ว่ามีชัยไปกว่าครึ่ง
โดยหลังจากที่ Berkshire Hathaway ได้เข้าซื้อกิจการ ชาร์ลี มังเกอร์ และวอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้แต่งตั้งให้ชัค ฮักกินส์ เป็น CEO ของ See's Candies
วอร์เรน บัฟเฟตต์ กล่าวว่า ในช่วงเวลานั้นมีบริษัทค้าปลีกรายใหญ่เพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่สามารถรักษาจิตวิญญาณของการมุ่งเน้นไปที่ลูกค้าเป็นหลักได้
เขายังกล่าวอีกว่า การที่ See's Candies ไม่มีผู้รับสิทธิ์แฟรนไชส์นั้นเป็นสิ่งที่ดีพอๆกับสินค้าของแบรนด์เลย เพราะนั่นทำให้แบรนด์สามารถควมคุมคุณภาพของพนักงานได้ พนักงานที่ร่าเริงและคอยให้ความช่วยเหลือลูกค้าเป็นเครื่องหมายการค้าที่ดีของ See's Candies เช่นเดียวกับโลโก้บนกล่องช็อกโกแลต
ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นภาพลักษณ์ที่เด่นชัดและสั่งสมมาเป็นอย่างดีของ See's Candies ซึ่งทั้งชาร์ลี มังเกอร์ และวอร์เรน บัฟเฟตต์ ก็เชื่อมั่นและไว้ใจให้ชัค ฮักกินส์ จัดการในเรื่องนี้และทางชัค ฮักกินส์ เองก็ตอบสนองความไว้ใจเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี
โดยตัวอย่างหนึ่งเลย ก็คือ See's Candies ที่มีชัค ฮักกินส์เป็น CEO ได้ปฎิเสธกระบวนการผลิตของคู่แข่งที่ใช้ในช่วงที่มีความต้องการสูง
โดยคู่แข่งเหล่านั้นมีการเพิ่มสารกันบูดหรือแช่แข็งผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป เพื่อทำให้วงจรการผลิตราบรื่นและเพื่อลดต้นทุนต่อหน่วย ทำให้คุณภาพของสินค้าลดต่ำลง
ในทางตรงกันชัค ฮักกิน เลือกที่จะเพิ่มคุณภาพของช็อกโกแลต ขึ้นราคา และคอยดูแลลูกค้าของตน ซึ่งก็ได้รับฟีดแบ็กที่ดีจากลูกค้าและยังสามารถรักษาจิตวิญญาณของการมุ่งเน้นไปที่ลูกค้าเป็นหลักของแบรนด์ที่มีมาอย่างยาวนานได้
3
บทเรียนจากการลงทุนนี้ได้เน้นถึงความสำคัญของการรักษาคุณภาพและแบรนด์ในทุกขั้นตอนของการพัฒนาธุรกิจ การให้ความสำคัญต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์ การบริการที่ดี และการสร้างความไว้วางใจของลูกค้า
อีกทั้งเป็นตัวอย่างที่ดีจากปู่ชาร์ลี มังเกอร์ ในการประเมินธุรกิจของเขาที่ไม่ได้มุ่งเน้นแค่เรื่องตัวเลข แต่ยังให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านอื่นๆด้วยนั่นเอง
ขอบคุณรูปภาพจาก Flickr

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา