14 ม.ค. เวลา 18:44 • ความคิดเห็น
เรื่องที่ยาก เราก็ดูรอยชาดก พระพุทธเจ้า ในแต่ละชาติที่ ได้บอกกล่าวไว้ บางชาติท่านก็ตกอบายภูมิ เป็นนกแขกเต้า แต่จิตท่านก็ยังเป็นผู้ที่มีความกตัญญูรู้คุณพ่อแม่ท่าน ท่านก็คาบอาหารเลี้ยงดูพ่อแม่ นั่นก็ด้วยนิสัยกตัญญูรู้คุณพ่อแม่ติดตามมากับจิต คราวนี้ เราก็ไม่รู้ว่า พระที่ท่านสอนญาติโยม
ในสมันต้นพุทธกาล พระท่านก็สำเร็จพระอรหันต์กันมาก ท่านก็รู้จักเรื่องราวของกรรม เรื่องราวของอารมณ์กรรม รู้วาระจิตที่ญาติโยม ติดขัดขัดขวาง แล้วคำพูด ของพระสมัยต้นพุทธกาล ที่สอนญาติโยมเค้าก็มาจากชั้นเทพยดาอินทร์พรหม เกิดมาเพื่อสร้างบุญกุศลบารมี ฟังธรรมจากพระ สร้างบุญกุศล กิริยาท่าทางที่เค้ากระทำ เค้าก็มีความนอบน้อม พระที่ท่านสอน ท่านก็มีแสงรัตนะที่จิตของท่าน แสงรัตนะที่กระจัดกระจาย ส่องเข้าไปถึงจิตญาติโยม ก็ช่วยให้ญาติโยม สามารถที่จะจุดเทียนธรรมขึ้นมาที่จิตได้
คราวนี้ ในสมัย เค้าเรียนธรรมจากไหนกัน ในสมัยต้นพุทธกาล เค้าฟังธรรมไม่กี่คำ เข้าก็เข้าใจ ด้วยเคยสะสมบุญกุศลบารมี แค่ว่า สิ่งต่างๆไหลมาแต่เหตุ ก็เข้าใจได้ แล้วก็สามารถ ปฏิบัติธรรมได้ คราวนี้ ปฏิบัติธรรมอย่างไร ท่านก็อาศัยรอยทั่งสีขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า รอยเดิน ยืน นั่ง นอน ..จิตที่เป็นมัชฌิมา ไม่นึกคิดอะไร รอยนี้หากไม่มีบุญบารมีก็ไม่สามรถกระทำได้เลย .. รอยที่กระทำ ภาวนา สองคำ พุทโธ ..ให้เกิดสติสัมปชัญญะ ..สติของจิต ..
คราวนี้ เราก็ลองดู ..ว่าพระพุทธเจ้า เจ้าชายสิทธัตถะท่านมีตำรับตำราธรรมมั้ย ..ทำไมท่านไม่ตรัสรู้ในเวียงวัง ทำไมต้องเข้าป่า ..ท่านไปกระทำอะไรในป่า . นั่นเป็นเรื่องราวของการชำระสะสาง .จิต..เอาธาตุทั้งสี่ เอาจิตที่อยู่อาศัยคำว่าดินฟ้าอากาศ นำกายไปอยู่ป่า จิตก็ตามกายไปกับกรรม ..ไปปฏิบัติในท่ามกลางดินฟ้าอากาศ .ท่านมีความขันติอดทน ยากลำบาก เคยเป็นเจ้าชาย ไปอยู่ป่าองค์เดียว ไม่มีอาหาร มีเสื้อผ้าชุดเดียว นั้นเป็นเรื่องของผู้ที่มีบุญบารมีเต็มที่ จึงสามารถกระทำได้
คราวนี้ .มาเรื่องของญาติโยม นั่นจิตเค้ายังเป็นผู้มีกรรม มีอารมณ์โลภโกรธหลงห้อมล้อมจิต จิตแต่ละดวง มีการสะสมบุญบารมี มาไม่เหมือนกัน มีกรรม มีวิบากกรรมมาไม่เหมือนกัน ..เวลาปฏิบัติธรรม สร้างบุญกุศล ..เค้าใช้กิริยาอย่างไรบ้าง ทำจิตทำใจอย่างไร
จิตเค้ามุ่งมั่นเข้าหาอะไร ..เค้ามีความอยากได้ ทะเยอทะยานมั้ย ผู้คนสมัยนั้น เค้าก็รู้ว่า เจ้าชายสิทธัตถะ ทิ้งเวียงวัง ทิ้งภรรยาบุตร ทิ้งยศฐานบรรดาศักดิ์ ไปอยู่ป่าทำไม ทำไมจิตใจท่านสามารถกระทำได้ .เหตุที่ท่านทิ้งเวียงวัง นั้นเพราะเหตุใด ทิ้งข้าทาสบริวารที่ยกสำรับกับข้าว แล้วก็มีเจ้าชายเศรษฐีเค้าทิ่ง ทรัพย์สมบัติ ทิ้งยศออกบวช ไปอยู่ป่า
แม้พระกัสสปะ ท่านก็คลานจงกรม จนมือเท้า ท่านมีมีบาดแผล ท่านก็ไม่ลดละความเพียร เป็นเพราะเหตุใด ..เพราะท่านไม่อยากเกิดอีก ความขันติ ขันติธรรม ท่านเป็นเลิศเลย นั่นเป็นเรื่องของจิต ที่สามสรถกระทำอยู่กับดินฟ้าอากาศได้ เข้าไปถึงพระแม่ทั้งสี่ในเรือนกาย จิตท่านมีแสงรัตนะ เนิดจ้า จึงสามารถกระทำได้ ชำระสะสางบัญชีกรรมเป็นชาติสุดท้าย ยุติกรรม ยติการเกิด ไม่มีกรรมที่ต้องเกืดมาชดใช้ มามีอารมณ์โลภโกรธหลงอีก เป็นเรื่องของการทำจิตให้เป็นแก้วเจียระไน กายก็เป็นแก้วบริสุทธิ์ก่อนเข้าพระนิพพาน
..คราวนี้ เราก็มาดูสมัยนี้ พอพูดถึงรอยทั่งสี่ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า รอยของการชำระสะสางกรรม หนีกรรม ยุติการเกิด แต่เราก็ไม่เค้าใจ .ไม่รู้ว่า ท่านกระทำอย่สงไร บางคนไม่เคยประพฤติเอารอยทั้งสี่นี้มากระทำ รอยธุดงค์ก็เหมือนกัน
..สิ่งที่เค้ากระทำกัน ก็เพื่อรีดเอาทุกข์ ทุกข์ก็คือกรรม ..เค้าเรียกว่าให้กายพ่อแม่สอนจิต ..ให้รู้จักทุกข์ ..แล้วจิตของบุตรธิดา เรียนรู้ทุกข์ สะสางทุกข์ ที่กายพ่อแม่สอนให้
เค้าจึงเข้าไปที่ลำบากอยู่ป่า อยู่ท่ามกลางดินผ้าอากาส นอนกับพระแม่ธรณี .ที่กว้างใหญ่ เพื่อให้กายนั้นแสดงทุกข์ออกมา เอาออกจากธาตุทั้งสี่ขันธ์ทั้งห้าวิญญาณทั้งหก เพื่อที่จะทำให้ธาตุทั้งสี่ขันธ์ทั้งห้าวิญญาณทั้งหก ชำระสะสางสะสางบัญชีกรรมที่อยู่กับดินฟ้าอากาศให้หมดสิ้น เพื่อยุติการเกิด .. แล้วการเข้าไปถึงธรรม นั่น เค้าก็ทำไปจนแดนพระนิพพาน เข้าแดนพระนิพพานได้ตั้งแต่ยังไม่ละสังขาร แต่ก็ต้องมาอยู่กับสังขาร ตามสัญญาที่มีไว้กับดินฟ้าอากาศ ไปจนครบอายุขัย
พระอรหันต๋ ท่านอยู่ป่า สำเร็จธรรมในป่าอยู่ป่า ไม่ได้อยู่เมือง..แล้วสำเร็จธรรม คราวนี้เรื่เงของญาติโยม ที่เค้ามีกรรมอยู่ มีความยึดถือทรัพย์สิน ยศฐานบรรดาศักดิ์ ที่ใช้อารมณ์โลภโกรธหลงไปเสาะแสวงหามา
..ท่านก็สอนให้สร้างทานบุญกุศล เพื่อที่จะสลัดความยึดถือนั่นออกไป เพราะยึดถือจึงต้องเกิดๆตายๆ ด้วยอารมณ์ที่ใช้กายวาจาใจไปสร้างกรรม ..ท่านก็ให้สละแปรสภาพวัตถุปัจจัยนั่นไปบ้าง สละความยึดถือนั่นไป ให้เป็นบุญ เพราะสิ่งที่สะสมทรัพย์สินเงินทองตายไปเอาไปไม่ได้ ..
1
เมื่อน่ำปัจจัยที่อาศัยกายพ่อแม่ที่เสาะแสวงหามาด้วยความเหน็ดเหนื่อยของกายพ่อแม่ เค้าก็เอากายพ่อแม่ นำปัจจัยที่ได้ แบ่งมาสร้างบุญกุศล ที่ต้องอาศัยวัตถุธาตุ ถวายแกพระ พระท่านก็แปรสภาพเป็นบุญ กระจัดกระจายบุญกุศลให้ ให้ไปถึงกายพ่อแม่ ให้ไปถึงผู้ที่อุปการะอุปถัมภ์ เจ้ากรรมนายเวร ที่ต้องอาศัยแสงของธรรมดินฟ้าอากาสช่วยส่งให้ไปถึงผู้อุทิศกุศลให้ แล้วที่พระท่านก็ชี้ให้คนรู้จักกรรม ..เรื่องของกรรม รู้จักกรรม แล้วทำอย่างไรจึงจะบรรเทากรรม หนีคว่าเวรกรรม เค้าทำกันอย่างไรบ้าง ให้เกิดเป็นการอโหสิกรรม.
สมัยนี้ เค้าก็ว่า มุ่งมั่นสมาธิ สมาธิอะไรกัน สมาธิจมอยู่กับอารมณ์อยาก ความโลภโกรธหลง ชื่อเสียงเกียรติยศหรือ เค้าทำเพื่อเพิ่มพูนความยึดถือในกรรม หรือทำเพื่อสละละทิ้ง ..มันจึงมีการสอนกันคนละแบบ สินให้ลดละ สอนให้นำกายพ่อแม่ปฏิบัติธรรมในรอยทั้งสี่ เพื่อให้มีแสงรัตนะ ช่วยคลี่คลายกรรม ให้กายเบาจิตเบา ..เค้าก็ว่าไม่เอา .มันยุ่ง..บ้างก็ว่า แค่คิดก็เป็นบุญแล้ว ไม่ต้องใช้กายไปทำอะไร บ้างก็ว่าทำบุญที่ใจ ..นี่ถ้ากล้องวีดีโอบันทึก เค้าจะบันทึกภายกิริยากายวาจาด้วยมั้ย
สมัยนี้ เค้ามีการอบรมเป็นครู สมาธิด้วย ..มีประกาศนียบัตร .ครูสมาธิ(ห้องแอร์ หมายเหตุไม่ได้ดูหมิ่นนะ แต่ว่าเพราะการฝึกหัดมันมีที่มาที่ไปผิดกัน)..ใครออกให้ ครูสมาธิใช้เวลาอบนานมั้ย ให้ได้ประกาศ แล้วยังมีเรื่ิองราว คล้ายประกาศนียบัตรวิชาชีพ วัดต้องมีครูที่ได้ประกาศบัตร เอาไว้ประดับสอนสมาธิ เราเคยผู้ที่เป็นครูสมาธิมา ..พระที่สอนเรา บอกให้ไปนั่งสมาธิ ที่ก้อนหินข้างตีนเขา นั่งได้ไม่นาน ก็โงกเงก เหวี่ยงซ้ายทีขวาที ..พระท่านบอกว่าดูครูสมาธิ นั่งสมาธิซิ ..ทำนั่งแบบนั่น.. (ไม่บอกหรอกว่า ครูสอนสมาธิที่ไหน)
แล้วเค้าว่ากัน ..เรื่องที่มุ่งมั่นสมาธิบรรลุธรรม ..ไม่รู้ว่า เค้าคงสะสมบุญกุศลกันมามาก. หรือว่า เคยอยู่กับอบายมานาน จึงสนุกสนาน กับโลกที่ให้ความหลงไหล ในสัมผัสแสงสีเสียงของโลก ให้เกิดอารมณ์จร พอใจไม่พอใจ ..มีสรรเสริญเยินยอ ..วนเวียนอยู่กับอารมณ์กรรม ที่เค้าว่า สามห่วงอบายภูมิ
เค้าคิดกันอยู่แค่ชาตินี้ ปฏิเสธเรื่องชาติหน้า ..ไม่รู้ว่าจะมีพ่อแม่เป็นอะไรต่อไป .ไม่ศึกษาเข้าไปเรียนรู้เรื่องเกิดแก่เจ็บตาย นั่นก็เพราะกรรม เค้าปิดบัง ..กรรมของสัตว์โลก นี่เค้าว่า เดี๋ยวจะมีการเก็บจิต ..กันมากมาย ผู้ที่จะมาเกิดกน้อยลงไป บ้านไม่คนจะอยู่ มีข้าวแต่ไม่มีคนกิน ..มันก็หมุนไปตามกาลเวลา ที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลง .. ไปตามกาลเวลา เจริญได้ ก็เสื่อมได้ มันของคู่กัน
เรื่องราวของความกตัญญูรู้คุณพ่อแม่นั้น เป็นรากฐานที่จะ สร้างบุญกุศลบารมี ..เข้าไปถึงธรรม เมื่อรู้จักพระคุณพ่อแม่ตั้งแต่เริ่มแรก แล้วจิตจะเข้าไปถึงธรรมได้อย่างไร ..จิตจะเห็นความสำคัญที่ได้กายมามั้ย เค้าให้มาทำอะไร ..ได้กายพ่อแม่เป็นมนุษย์ใช้ทำอะไรกัน
..เมื่อนำกายพ่อแม่มาประพฤติปฏิบัติธรรม มันก็มีเรื่องราวที่เค้าเรียกว่า มโนทศึกษา ..แต่ต้องเอาสิ่งที่จดจำมา อารมณ์ที่จดจำอ่านออกเขียได้ทิ้งไว้ก่อน ..เอาแค่กายมากระทำในรอยทั้งสี่ ..กระทำขึ้นมา..แต่ต้องจุดเที่ยนธรรม ให้จิตมีแค่พระสามอวค์พอ ..พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ..เป็นที่พึง
เพราะเราเอากายพ่อแม่มาเรียนรู้ปฏิบัติธรรม ..ธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ..เอาจิตมาศึกษา มิใช่เอาอารมณ์มาศึกษา.. ปรุงแต่งเข้าหาธรรม..นั่นก็คือ ฝึกหัด .ตัวเอง ตั้งแต่กราบพระ สวดมนต์ ..จิตไม่ไปนึกคิดอะไร .มีสติกับการกราบ ..การสวดมนต์ ยิ่งปฏิบัติธรรมก็ไม่ต้องนึกคิดอะไร ..มีพุทโธเท่านั้น ยิ่งทำกายให้นิ่งจิตนิ่ง ..ไม่นึกคิดอะไรได้ ..ตรงนั้นจะเกิดปัญญาในธรรม เพื่อหนีกรรม (พระท่านสอนเรามาอย่างนี้ ใครทำได้ผู้นั้นมีปัญญาในธรรม จิตก็จะเลิกทาส ทาสที่รับใช้อารมณ์มานาน)
1
โฆษณา