15 ม.ค. 2024 เวลา 08:00 • ท่องเที่ยว

📍วัดชลธาราสิงเห: งามศิลป์ถิ่นใต้แห่งอำเภอตากใบ

ราวปีพุทธศักราช 2452 สยามกับบริติชมลายาเกิดปัญหาการปักปันเขตแดนขึ้นมา โดยในคราวนั้นเอ็ดเวิร์ด เฮนรี่ สโตรเบลได้ทูลถวายความเห็นเกี่ยวกับสี่รัฐมาลัยที่เห็นว่าในอนาคตก็คงจะถูกอังกฤษผนวกเข้ากับบริติชมลายาแน่นอนแล้วสยามจะมีแต่เสีย
จึงคิดว่าควรที่จะยกสี่รัฐดังกล่าวให้กับอังกฤษโดยพ่วงกับสนธิสัญญาให้ฝ่ายไทยได้ประโยชน์ด้วย ทำให้เกิดสนธิสัญญา อังกฤษ-สยามขึ้นมา
โดยเนื้อหาดังกล่าวเกี่ยวกับการยกสี่รัฐมาลัยให้อังกฤษเพื่อแลกกับการที่อังกฤษให้กู้เงินสำหรับก่อสร้างทางรถไฟสายใต้ ตลอดจนอังกฤษจะจ่ายหนี้ที่สยามติดค้างกับสี่รัฐมาลัย และรับรองอธิปไตยของสยามเหนือปัตตานีด้วย
สยามไม่ลังเลที่จะยกสี่รัฐดังกล่าวให้แก่อังกฤษ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้สยามชั่งใจอยู่บ้างก็คือพื้นที่บางส่วนของรัฐเหล่านั้นที่เป็นไทย มากกว่าเป็นมลายู จึงเล็งเห็นว่าควรให้พื้นที่ตรงนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของสยามมากกว่า
จึงได้กำหนดเขตแดนให้ดินแดนใต้แม่น้ำโกลกลงไปเป็นของอังกฤษ และพื้นที่เหนือแม่น้ำโกลกตรงนั้นเป็นของสยาม โดยสยามได้กล่าวอ้างถึงสถานที่แห่งหนึ่งทำให้สามารถรักษาพื้นที่ส่วนนั้นเอาไว้
สถานที่ที่สยามใช้ในการกำหนดเขตแดนก็คือที่ วัดชลธาราสิงเห หรือวัดพิทักษ์แผ่นดินไทย หรือที่ในอดีตเรียกกันว่าวัดท่าพรุ เป็นวัดที่ตั้งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยพระครูโอภาสพุทธคุณได้ขอที่ดินจากเจ้าเมืองกลันตันมาสร้างเป็นวัดพุทธ
โดยตัวอุโบสถหลังปัจจุบันถูกสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ภายในมีงานจิตรกรรมเก่าเขียนบนผนังทั้ง 3 ด้านของพระอุโบสถ เป็นงานจิตรกรรมที่ใช้สีค่อนข้างสด และอัดแน่นเต็มพื้นที่ที่มีจำกัด
หนึ่งสิ่งที่เป็นของดีประจำวัดก็คือหมู่กุฏิซึ่งเป็นงานช่างท้องถิ่นภาคใต้อย่างแท้จริง โดยตัวของกุฏิสิทธิสารประดิษฐ์ หรือพิพิธภัณฑ์ประจำวัดนี้ถูกสร้างขึ้นในปี 2498
เป็นอาคารไม้หลังคาทรงปั้นหยามุงกระเบื้องดินเผา ผนังมีรูฉลุไม้เป็นช่อง ๆ เพื่อระบายอากาศ ตามรูปแบบสถาปัตยกรรมของภาคใต้ที่สอดคล้องกับสภาพอากาศที่ร้อนชื้น ที่บันไดทางเดินเองก็มีหลังคาคลุมกันฝนด้วย โดยภายในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงศิลปวัตถุและโบราณวัตถุที่เกี่ยวข้องกับตากใบ ซึ่งถ้าใครที่สนใจก็สามารถแวะลงไปชมได้
#ที่โปรด #นราธิวาส
โฆษณา