15 ม.ค. เวลา 15:10 • หนังสือ

สรุปจาก หนังสือ “ ยิ่งหิว ยิ่งอายุยืน “

การปล่อยให้หิวนั้นไม่ใช่เรื่องที่แย่เสมอไป การหิวที่ไม่มากเกินไปกลับเป็นสิ่งดีเสียด้วยซ้ำ เพราะระหว่างที่เราหิวจะทำให้ไขมันในร่างกายของเราถูกดึงนำไปใช้ ทั้งยังช่วยฟื้นฟูเส้นเลือดไม่ให้ตีบตัน นำไปสู่การมีสุขภาพที่ดีขึ้น น้ำหนักลดลง และอายุยืนขึ้นได้
1
ปัจจุบันโลกเรามีคนทำขนมหวานออกมามากมายให้เราได้รับประทานกันนับไม่ถ้วน ทำให้คนในสังคมยุคปัจจุบัน มีสิทธิอ้วนมากกว่าคนยุคก่อน และนำไปสู่โรคร้ายแรงที่เกิดขึ้นกับร่างกายเราสารพัด ไม่ว่าจะเป็น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคมะเร็ง และโรคอื่นๆอีกมากมาย
น้ำตาลที่เราทานเข้าไปเป็นศัตรูตัวฉกาจต่อร่างกายของเราอย่างแน่นอน ถ้ารับประทานในปริมาณที่มากเกินไป
ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้จึงเปรียบเทียบให้เรานึกถึงกระทะที่เราใช้ทำอาหารที่มีคราบเศษอาหารอยู่เต็มกระทะ ถ้าเป็นจำพวกโปรตีน ไขมันที่ติดอยู่บนกระทะยังสามารถหลุดล่อนออกมาได้ง่าย แต่ถ้าเป็นจำพวกน้ำตาลกลับไหม้เกรียมติดกระทะและขูดออกยาก ซึ่งเปรียบเสมือนเส้นเลือดในร่างกายเราเช่นกันที่น้ำตาลอาจไปอุดตันที่ผนังหลอดเลือดได้ง่ายกว่า ถ้าเรากินอาหารที่มีน้ำตาลมากในช่วงเวลาที่ยังอิ่มท้องก็จะยิ่งทำให้เส้นเลือดไม่ได้รับการฟื้นฟูและเกิดโรคหลอดเลือดได้ง่ายขึ้น
ร่างกายเรามีวงจรการย่อยอาหาร ซึ่งจะย่อยน้ำตาลก่อนแล้วไปย่อยไขมัน เนื่องจากน้ำตาลย่อยได้ง่ายกว่า ถ้าเราไม่หิวแต่ยังกินอยู่ ร่างกายก็จะย่อยแต่น้ำตาลก่อน และไปไม่ถึงจุดที่ร่างกายย่อยไขมัน จึงทำให้เรายังคงมีน้ำหนักตัวที่มาก เพราะร่างกายไม่ได้ดึงไขมันออกมาใช้อย่างเต็มที่ ทำให้เรายังคนอ้วนอยู่
1
ดังนั้นเราจึงควรปล่อยให้ตัวเองได้หิวบ้าง การหิวไม่ได้ทำให้เรี่ยวแรงน้อยลง เพราะจากวงจรที่ย่อยน้ำตาลก่อน แล้วไปย่อยไขมัน และโปรตีน ถ้าโปรตีนยังถูกเก็บไว้อยู่ ยังไม่ถูกย่อย เราก็ยังคงพอที่จะมีเรี่ยวแรงทำกิจวัตรประจำวันต่างๆด้วยไขมันจากร่างกายของเรา ดังนั้นถ้าไม่หิวก็ไม่ต้องกิน แต่ถ้าหิวแบบท้องร้องจ๊อกถึงค่อยกิน เพื่อไม่ให้ร่างกายไม่แน่นจนเกินไป และปล่อยให้เส้นเลือดได้ฟื้นฟู ทั้งให้ความหิวทำให้เส้นเลือและร่างกายของเรายังคงเป็นหนุ่มสาว
2
นอกจากปล่อยให้ท้องหิวบ้างแล้ว สิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไปเพื่อให้มีสุขภาพที่ดี ได้แก่ การออกกำลังกายในชีวิตประจำวัน เช่นการไปทำงานหรือกลับบ้านด้วยการเดินแทนการใช้รถ หรืออยู่บนบีทีเอสก็ให้ยืนแทนการนั่ง เพื่อช่วยให้ร่างกายได้เผาผลาญ การทานผักและผลไม้เป็นประจำ ถ้าท้องว่างควรเลี่ยงขนมจำพวกน้ำตาล และ ผงชูรส เพราะน้ำตาลตกได้ และผงชูรสทำให้เกิดการเสพติด อยากที่จะทานแล้วทานอีกเรื่อยๆ เพราะความอร่อยแบบไม่ธรรมชาติ
ถ้าหิวท้องว่างจริงๆ ควรทานพวกถั่วเปลือกแข็ง ปลาซาร์ดีนตัวเล็กจะดีกว่า นอกจากนั้นทำอาหารทานเองหรืออาหารรสฝีมือแม่ที่ทำด้วยรสธรรมชาติ ปราศจากการปรุงแต่งที่มากเกิน ย่อมดีต่อสุขภาพ
สุดท้ายการออกกำลังกายแบบใช้ออกซิเจน ที่เป็นการออกกำลังกายแบบต่อเนื่องยาวนาน อย่างเช่น การออกกำลังแบบคาร์ดิโอ ไม่ว่าจะเป็นการเต้นแอโรบิค ขี่จักรยาน เดินเร็วติดต่อกัน และอื่นๆ จะช่วยให้วงจรไขมันถูกดึงนำมาใช้ ดีกว่าการออกกำลังกายแบบไม่ใช้ออกซิเจน ที่เป็นการออกกำลังกายในระยะเวลาสั้นๆ และเผาผลาญแค่เพียงน้ำตาลเท่านั้น
นอกจากการดูแลตัวเองด้วยวิธีการดังกล่าวข้างต้นแล้ว สิ่งที่ต้องดูแลเพิ่มเติม คือ การไม่ชำระร่างกายมากเกินไป เพราะจะไปทำลายแบคทีเรียชนิดดี ซึ่งอาจทำให้ผิวแห้ง เกิดอาการคัน เป็นแผล และเสี่ยงติดเชื้อได้ การดูแลความสะอาดแต่พอดีๆ จะทำให้ร่างกายเรามีภูมิคุ้มกันที่พอเหมาะกับตัวเอง
สุดท้ายสิ่งที่ละเลยไปไม่ได้เลย คือ เรื่องของสุขภาพใจและการบริหารจัดการความเครียด เนื่องจากในสังคมยุคปัจจุบัน ทุกคนต่างต้องอยู่ในกรอบ ทำตามบรรทัดฐานทางสังคม มีการใช้เหตุผลกันมากเกินไป ทำให้สิ่งที่สมองคิดซึ่งใช้เหตุผลขัดแย้งกับความรู้สึกหรือความต้องการที่แท้จริงของจิตใจ ทำให้เกิดความเครียดและป่วยเป็นโรคทางใจกันได้ง่ายขึ้นกว่าแต่ก่อน
ดังนั้นเราจึงควรมีวิธีบรรเทาความเครียดด้วยหลักของ STRESS ซึ่งได้แก่ SPORTS / TRAVEL / RECREATION / EAT / SLEEP / SMILE / SPEAK นั่นก็คือการรู้จักออกกำลังกาย ท่องเที่ยว ทำกิจกรรมสันทนาการ ทานของอร่อย นอนหลับอย่างเพียงพอ ยิ้มแย้มแจ่มใส และพูดคุยแลกเปลี่ยนกับคนในสังคมและคนรอบตัว รวมทั้งใช้ชีวิตจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน และใช้ชีวิตโดยไม่ฝืนธรรมชาติ หรือ ขัดแย้งกับตัวเองมากเกินไป
6
THE END
ยิ่งหิวยิ่งอายุยืน.เขียนโดย น.พ. โยะชิโนะริ นะงุโมะ 2013. แปลโดย พิมพ์รัก สุขสวัสดิ์ 2017. สำนักพิมพ์วีเลิร์น
โฆษณา