21 ม.ค. เวลา 01:00 • ธุรกิจ

Jean Paul Gaultier จากเด็กชายชานเมือง สู่ดีไซน์เนอร์คนดังยุค 90s

อุตสาหกรรมแฟชั่น นับว่าเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญไม่น้อยเนื่องจากเสื้อผ้าก็เป็นหนึ่งในปัจจัยสี่สำคัญของมนุษย์มาอย่างยาวนาน
เรื่องราวของแฟชั่นเป็นเรื่องที่มีพัฒนาการมาตลอดและเปลี่ยนแปลงไปอย่างเรื่อย ๆ ซึ่งเทรนด์แฟชั่นต่าง ๆ โดยมากมักจะเกิดจากการริเริ่มของเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ที่มีอิทธิพลต่อผู้คนในสังคม
และเสื้อผ้าของเหล่าอินฟลูเอนเซอร์นี้ก็มักจะมีนักออกแบบที่พยายามสร้างผลงานให้ออกมาดูดีและดูล้ำสมัยจนบางทีก็อาจจะยากแก่การเข้าใจก็เป็นได้
แฟชั่นดีไซน์เนอร์ชื่อดังนั้นก็มีมากมายหลายคนแต่แน่นอนว่าคนที่ Bnomics จะมาพูดถึงวันนี้ย่อมเป็นบุคคลที่มีผลงานและชื่อเสียงที่หลาย ๆ คนอาจจะเคยได้ยินชื่อมาบ้าง
ซึ่งแบรนด์ของชายคนนี้ไม่ใช่แค่แบรนด์แฟชั่นแต่ยังเป็นแบรนด์น้ำหอมชื่อดังอีกด้วยและชายคนนี้ก็ยังคงมีชีวิตอยู่จนถึงปัจจุบัน ซึ่งเขาคนนี้ก็คือ ฌ็อง ปอล โกลติเยร์ (Jean Paul Gaultier) เจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าและน้ำหอมชื่อดังที่ผลงานของเขาได้ปรากฏบนเรือนร่างของเหล่าคนดังมาแล้วมากมาย
[จากชานเมืองแฟชั่นสู่ใจกลางมหานคร]
ฌ็อง ปอล โกลติเยร์ เกิดเมื่อปีมะโรง 1952 ใน แถบชานเมืองของมหานครแฟชั่นอย่างปารีส โดยพ่อแม่ของทำงานเกี่ยวกับธุรการและการบัญชี
ตัวของโกลติเยร์ได้หันเหเข้าสู่เรื่องเสื้อผ้าและสิ่งสวย ๆ งาม ๆ จากคุณยายของเขาที่เป็นช่างเสริมสวยที่มักจะมีนิตยสารแฟชั่นอยู่ในร้าน
โกลติเยร์ไม่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับแฟชั่นแบบจริงจังมากนัก เขาไม่เคยเรียนเขียนแบบหรือสเก็ตซ์ภาพมาก่อน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เล่นออกแบบเสื้อผ้าต่าง ๆ ให้กับตุ๊กตาของเขาตั้งแต่เด็ก
ตลอดจนการได้ไปดูการแสดงคาบาเร่ต์ ทำให้เขายิ่งหลงใหลที่จะออกแบบชุดเข้าไปใหญ่ และตัดชุดเล่น ๆ เองเป็นครั้งแรกตั้งแต่อายุแค่ 9 ปีเท่านั้น
พอเริ่มโตขึ้นมาเป็นวัยรุ่นเขาก็ได้เขียนงานออกแบบส่งไปให้กับกูตูร์ผู้หนึ่งนามปิแอร์ การ์แด็ง ผู้ที่จะนำพาให้โกลติเยร์เข้าสู่ถนนสายแฟชั่นอย่างเป็นทางการ
[ชายผู้เอาความเก่ามาทำให้เป็นความใหม่]
ปี 1970 โกลติเยร์ในวัย 18 ปี ก็ได้รับการว่าจ้างจากการ์แด็งให้ไปเป็นผู้ช่วยนักออกแบบ และได้ร่วมงานกับดีไซน์เนอร์หลายคน
โดย 4 ปีต่อมาการ์แด็งก็ได้ส่งให้เขาไปประจำร้านอยู่ที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ก่อนที่จะหาทางหนีออกมาได้จากสถานการณ์ทางการเมืองฟิลิปปินส์ในสมัยรัฐบาลของเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส
ในปี 1976 โกลติเยร์ได้เปิดตัวคอลเลคชั่นชุดแรกของเขา โดยบรรณาธิการนิตยสารแฟชั่นล้วนแต่ประทับใจและจับตามองผลงานของเขาซึ่งมีสไตล์ที่แหวกแนว
โดยในปี 1980 เขาได้ออกแบบเดรสที่ทำมาจากถุงขยะพลาสติก ตลอดจนคอลเลคชั่นต่าง ๆ ที่ทำให้แบรนด์ของเขาโด่งดังขึ้นมาและมีมูลค่ายอดขายทั่วโลกกว่า 50 ล้านเหรียญในปี 1985
จนนามสกุลโกลติเยร์ของเขากลายมาเป็นศัพท์บัญญัติทางแฟชั่นเลยทีเดียว โดยมีความหมายถึงการเอาความเก่า ๆ มาตีความใหม่โดยแฟชั่นดีไซน์เนอร์
ซึ่งโกลติเยร์ได้หยิบเอาแฟชั่นยุคเก่ามาตีความใหม่หลายชิ้น เช่นชุดลายขวางของกะลาสีเรือ, กระโปรงผู้ชาย, ตลอดจนถึงผลงานที่เป็นที่จดจำมากที่สุดของเขาอย่างคอร์เซ็ทที่มาพร้อมกับบราทรงกรวย
[ดีไซน์เนอร์คู่บุญของเหล่าศิลปินยุค 90s]
หนึ่งในลูกค้าคนสำคัญของโกลติเยร์ที่พาแฟชั่นสุดแหวกแนวของเขาออกสู่สายตาคนทั่วโลกเป็นนักร้องเสียงทรงพลังที่หลาย ๆ คนอาจจะเคยได้ยินชื่ออย่างราชินีวงการเพลงป็อบ “มาดอนน่า” ซึ่งได้สวมใส่ชุดแฟชั่นของโกลติเยร์แสดงในผลงานภาพยนตร์เรื่อง Desperately Seeking Susan
ตลอดจนเธอได้เลือกให้โกลติเยร์มาออกแบบชุดต่าง ๆ ของเธอที่จะใช้งานการแสดงคอนเสิร์ตเวิลด์ทัวร์ครั้งที่ 3 ของเธอ ซึ่งแน่นอนว่าความสำเร็จในครั้งนี้ได้ทำให้โกลติเยร์ได้ออกแบบเสื้อผ้าให้กับศิลปินและนักแสดงมากมาย
อาทิ ปีเยิร์ก, มาริลีน แมนสัน, เลสลี่ จาง, เลดี้ กาก้า, บียอนเซ่, นิกกี้ มินาจ, ริฮานน่า, บียอนเซ่, เคที่ เพร์รี่ เป็นต้น
และเป็นการสร้างกระแสในโลกแฟชั่นเกี่ยวกับการเอาองค์ประกอบของความเป็นหญิงและความเป็นชายเข้าไว้ด้วยกันผ่านแฟชั่นของมาดอนน่า ซึ่งการนำเอาความลื่นไหลทางเพศนี้มาใส่ในผลงานทำให้ผลงานของเขาถูกพูดถึงอย่างมากมาย
1
[จากอาภรณ์สู่สุคนธ์]
ในปี 1993 จากแบรนด์แฟชั่น โกลติเยร์ก็ได้มีแนวคิดที่จะแตกสาขาออกมาไปในสายผลิตภัณฑ์อื่นบ้าง โดยเขาเลือกที่จะทำแบรนด์น้ำหอมขึ้นมา ซึ่งในปีนี้เขาก็ได้คิดค้นน้ำหอมกลิ่นแรกของแบรนด์ขึ้นมา
โดยผสานกลิ่นของวานิลลา, ดอกส้ม, และขิงเข้าไว้ด้วยกัน เป็นกลิ่นคลาสสิคที่เป็นเอกลักษณ์และนำพาให้น้ำหอมฌ็อง ปอล โกลติเยร์ ประสบความสำเร็จทั่วโลกไม่แพ้แบรนด์อื่น ๆ โดยมีกลิ่นมากมายให้เลือกนับร้อยแบบ
[โกลติเยร์ในยุคมิลเลนเนียล]
ในปี 1999 ฌ็อง ปอล โกลติเยร์ก็ถูกซื้อบางส่วนไปโดยแอร์เมส รวมไปถึงตัวของโกลติเยร์เองก็ถูกว่าจ้างให้ไปเป็นหัวหน้านักออกแบบให้กับแอร์เมส โกลติเยร์สร้างสรรค์ผลงานต่าง ๆ ให้กับแอร์เมสและโกลติเยร์ไปพร้อม ๆ กันจนถึงปี 2010
ในปี 2015 จึงได้ยุติการผลิตเสื้อผ้าในสายการผลิตของเสื้อผ้าสำเร็จรูป และหันมามุ่งมั่นกับงานแบบโอต์กูตูร์แทนในนามของ “โกลติเยร์ ปารีส” ซึ่งเปิดตัวมาตั้งแต่ในปี 1997
โดยมีเหตุผลสั้น ๆ ว่าตลาดเสื้อผ้าสำเร็จรูปนั้นมีการแข่งขันสูงเกินไป และต้องขยันออกผลงานใหม่ ๆ มาตามเทรนด์และป้อนให้กับตลาดเสื้อผ้าอยู่เสมอ ๆ
ในปี 2020 ที่ผ่านมาโกลติเยร์ก็ได้ประกาศว่าเขากำลังจะออกคอลเลคชั่นสุดท้ายซึ่งจะเป็นการปิดฉากงานนักออกแบบของเขา และเกษียณตัวออกจากวงการในท้ายที่สุด
ความสำเร็จของโกลติเยร์นับว่ามีความชื่นชอบเป็นแรงผลักดันขั้นพื้นฐานที่นำพาให้เด็กชายจากชานเมืองผู้ไม่มีพื้นฐานทางแฟชั่นเลย แต่กลับสามารถสร้างสรรค์ผลงานทางแฟชั่นได้ตั้งแต่อายุยังน้อย
ตลอดจนเติบใหญ่กลายมาเป็นบุคลากรผู้มีความสำคัญในวงการแฟชั่น และประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ ๆ ออกมา โดยตัวของฌ็อง ปอล โกติเยร์เชื่อมั่นว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นล้วนแต่มีความเป็นไปได้ ขอแค่เรากล้าลงมือที่จะทำมันออกมาดังที่เขาเคยกล่าวเอาไว้ว่า
“ผมฝันอยากเป็นนักออกแบบ
แล้วก็ได้เป็นจริง ๆ ดังนั้นผมจึงเชื่อว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่เป็นไปได้”
-Jean Paul Gaultier
โฆษณา