20 ม.ค. เวลา 10:54 • ความคิดเห็น
จักรวาลเปรียบเสมือน เป็นภารกิจการเดินทางสำรวจที่ไม่มีวันจบ ขอบเขตของจักรวาลอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ แล้วมันก็ขยายตัวออกไปเรื่อยๆ มีจำนวนนับอนันต์ มีหลายล้าน galaxy มีดวงอาทิตย์เป็นล้านๆดวง จึงประมาณไม่ได้ เป็นอจินไตย ไร้ขอบเขต คือดินแดนที่ไม่มีสิ้นสุด
พระเจ้า คือผู้สร้างทุกสิ่ง เป็นความรู้ที่ส่งต่อกันมา จากคนสู่คนด้วยกัน ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม เป็นคัมภีร์ไบเบิล เป็นตำนานเล่าขานในศาสนาของผู้สร้างสรรพสิ่ง
ส่วนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือสิ่งที่คนเราไม่สามารถอธิบายได้จากการดลบันดาลบางสิ่งให้เกิดขึ้น จัดเป็นอิทธิปาฏิหาริย์ที่มันเกิดขึ้น แบบนอกเหตุเหนือผล เกินกว่าสติปัญญาของคนเราที่จะอธิบายได้ในณขณะนั้น คนเราจึงยกมือท่วมหัว สาธุเจ้าประคุณเอ้ยช่างศักดิ์สิทธิ์แท้น้อ
1
แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น เกิดสามารถอธิบายได้ขึ้นมา สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นก็จะไม่ศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป แต่จะกลายเป็นความรู้ในหลักการพิสูจน์ทราบทางวิทยาศาสตร์แทน กลายเป็นความเข้าใจในเหตุและผล เป็นสิ่งที่สามารถอธิบายได้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นก็จะบูรณาการกลายเป็นความรู้ความเข้าใจของบุคคล แล้วจะกลายเป็นความธรรมดา ที่ต้องมีเหตุ และผล เหมือนกับเรื่องทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นในโลก
ทุกอย่าง จักรวาล พระเจ้า และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เหมือนกันก็คือมันเดินทางไปไม่สุด คือต้องอาศัยการพิสูจน์และเดินทางต่อไปในกระบวนการของวิทยาศาสตร์ และสุดท้ายมันอาจจะกลายเป็นเรื่องเดียวกันในที่สุด ไม่วันใดก็วันหนึ่ง
เหมือนกับการสมมติฐานดังต่อไปนี้ว่า พระเจ้าอาจจะอยู่ในตัวของคนเรานี่แหละ คือสิ่งที่เล็กที่สุด เป็นอะตอม เล็กลงไปเป็นปรมาณู เป็นอานุภาพที่เล็กจนไปถึงระดับ DNA ที่พระเจ้าได้สร้างเราขึ้นมาจากส่วนหนึ่งของพระเจ้าเอง และพระเจ้าก็คือมนุษย์ที่อยู่ไกลแสนไกลในกาแล็กซี่ที่ไหนสักแห่งในจักรวาลที่เรายังไม่รู้ เปรียบเสมือนเรื่องปาฏิหาริย์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรายังไม่เข้าใจมัน เราจึงพูดขึ้นมาว่านี่คือปาฏิหาริย์ แต่แท้จริงแล้วอาจจะไม่ใช่ เพราะเราอธิบายมันไม่ได้ เพราะเราไม่มีองค์ความรู้มากพอที่จะเข้าใจต่างหาก
1
โฆษณา