21 ม.ค. 2024 เวลา 02:14 • สุขภาพ

มาเพาะกายกันดีกว่าครับ

* * * วันนี้มีเรื่องของการออกกำลังกายมาแชร์กันครับ ในโลกโซเชียลเห็นมีแต่เรื่องเที่ยวเรื่องกิน แต่ไม่ค่อยแชร์เรื่องการออกกำลังกายกันเลย ระวังน้า.. เอาแต่เที่ยว เอาแต่กิน จะอ้วนเอา จะเป็นโรคโน้นโรคนี้เอา ระวังจะมีอายุอยู่ไม่ถึงเลข 5 นะครับ
* * * การเพาะกายเป็นการออกกำลังรูปแบบหนึ่งที่มีมาร้อยกว่าปีแล้ว โดยสมัยรัชกาลที่ 6 มีพระภิกษุชื่อดังท่านหนึ่งที่ศึกษาตำราเพาะกายของต่างประเทศแล้วนำมาสอนให้พระภิกษุที่วัดปทุมวนารามได้บริหารร่างกายกัน ซึ่งพระภิกษุสามารถเพาะกายได้ ไม่ผิดพระวินัยแต่อย่างใด คือถ้าจะให้พระออกกำลังด้วยการวิ่ง มันก็จะดูไม่งามนะครับ
* * * ในตอนหลัง การเพาะกายมันแตกหน่อมาเป็นฟิตเนส ซึ่งความแตกต่างระหว่างฟิตเนสกับเพาะกายคือ ฟิตเนสมันจะต้องไปดูเรื่องความดันโลหิต การเต้นของหัวใจ แล้วก็ยังมีศัพท์ทางวิชาการที่ฟังแล้วเข้าใจยาก ถ้าจะต้องบริหารฟิตเนสจริงๆ คงจะต้องจ้างครูฝึกมาสอน แต่การเพาะกายมันจะเข้าถึงได้ง่ายกว่า ไม่ต้องไปดูเรื่องความดันโลหิต ฯลฯ แค่ถือลูกดัมเบลล์ไว้ในมือแล้วยกขึ้นลงตามความเคลื่อนที่กล้ามเนื้อตามธรรมชาติก็เป็นอันใช้ได้ และอ่านจากตำราต่างๆจากหนังสือเพาะกายหรือความรู้ในเวบในโลกโซเชียลก็ทำการเพาะกายด้วยตัวเองได้แล้ว
* * * กีฬาเพาะกายเหมาะกับคนทุกเพศทุกวัยนะครับ คุณผู้อ่านอย่าพึ่งไปคิดว่าถ้าเพาะกายแล้วจะต้องมีหุ่นเหมือนกระทิง แล้วก็ทาน้ำมันให้ตัวมันๆ แล้วก็ขึ้นไปโชว์กล้ามบนเวทีนะครับ พวกที่ว่านั้นมันก็มีอยู่จริง แต่พวกเขาเพาะกายเป็นอาชีพ และต้องทานข้าววันละ 6 มื้อเหมือนพวกซูโม่ของญี่ปุ่นที่เขาต้องทานแบบนี้กันเพื่อให้ได้ร่างกายที่ใหญ่โตนะครับ ซึ่งเราก็ไม่ต้องไปทานมากขนาดนั้น คือเราไม่ต้องไปเลียนแบบวิธีทานของเขา เราก็ทาน 3 มื้อตามปกติไป แต่เราจะเลียนแบบเฉพาะการฝึกของเขาเท่านั้น
* * * เอาล่ะ ผมจะชี้แจงให้ฟังว่าที่ผมบอกว่าเหมาะกับทุกวัยนั้นมันเป็นอย่างไร?
* * * วัยนักเรียน - ช่วงอายุ 12 – 18 ปี - ตัวผมเองเริ่มเล่นกล้ามตั้งแต่อายุ 14 ปีซึ่งเป็นช่วงนักเรียนมัธยม ผมไม่รู้ว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันจะมองผมว่าหุ่นแบบไหน แต่เท่าที่จำได้คือผมไม่เคยถูกใครแกล้งเลย คุณลองนึกภาพเด็กอายุ 14 ปีผอมๆแห้งๆสิวเขรอะดูนะครับ เห็นแล้ว เพื่อนรุ่นเดียวกันก็ต้องอยากแกล้งเป็นธรรมดา เพราะดูแล้วตัวผอมๆแห้งๆแบบนี้ คงไม่มีแรงสู้กลับแน่นอน ผิดกับพวกที่มีกล้ามเนื้อ ถ้าไปแกล้งมัน เดี๋ยวโดนมันต่อย ด้วยเหตุนี้มั้ง ผมก็เลยไม่เคยโดนแกล้งเลย อาจเป็นเพราะตอนนั้นผมพอจะมีกล้ามให้เห็นแล้ว
* * * และถ้าคนอ่านบทความนี้อยู่ในฐานะที่เป็นพ่อแม่ที่มีลูกอายุประมาณ 12 – 14 ปีแล้วหุ่นผอมๆแห้งๆก็ขอให้รู้ไว้ว่าบางทีลูกของคุณอาจจะเจอปัญหาเพื่อนแกล้งอยู่ก็ได้ เพียงแต่เขาไม่ได้มาเล่าให้คุณฟังเท่านั้นเอง วิธีที่คุณจะทำได้ในฐานะพ่อแม่ก็คือสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกด้วยการทำให้เขาดูมีกล้ามเนื้อบ้าง จะได้ไม่โดนใครแกล้งไงครับ และวิธีการทำให้ลูกของคุณมีกล้ามเนื้อขึ้นมาก็คือการให้เขาสนใจการเพาะกายนั่นเองครับ อันนี้ตรงจุดที่สุดแล้วครับ
* * * ผมยังจำสมัยมัธยมตอนนั้นได้ มีบางเช้าที่เราจะต้องเข้าแถวเคารพธงชาติที่หน้าเสาธงซึ่งเราจะต้องมาเข้าแถวรวมกันทุกห้องทุกชั้นที่สนามบาสหน้าเสาธง มันจะมีเพื่อนผู้ชายห้องข้างๆคนหนึ่งที่ยืนเข้าแถวอยู่ข้างๆห้องผมและยืนอยู่ด้านหน้าๆผมนิดหน่อย ผมชอบดูตรงกล้ามน่องของเขา เพราะมันโคตรเท่เลย ( ผมยังจำได้จนบัดนี้ ) เป็นทรงเพชรแล้วยังมีเส้นเลือดไขว้บนกล้ามน่องนั่นอีก แล้วก็มีเพื่อนผู้ชายอีกคนที่ดูด้านหลังเขาแล้วเหมือนนักกล้ามมากๆเลยครับ เป็นทรงตัววี ดูแล้วโคตรเท่เลย
* * * ผมไม่รู้ว่าเพื่อนผู้ชายคนอื่นจะสังเกตุเห็นกล้ามของผมเหมือนที่ผมสังเกตุเห็นกล้ามเพื่อนหรือเปล่า เพราะว่าตอนนั้นผมลองวัดกล้ามแขนของตัวเองแล้วก็ได้ขนาด 16 นิ้วแล้ว มันเป็นขนาดที่ใหญ่พอใช้ได้เมื่อเทียบกับคนในวัยเดียวกัน ( คืออายุ 14 – 15 ปี ) ผมจึงค่อนข้างมั่นใจว่าน่าจะมีคนแอบมองผมอยู่เหมือนกันเพียงแต่ผมไม่ได้สังเกตุเพราะผมมัวแต่มองกล้ามน่องกับกล้ามหลังของเพื่อนที่อยู่ด้านหน้าอยู่นั่นเอง
* * * วัยรุ่น - ช่วงอายุ 18 – 24 ปี ช่วงนี้เป็นวัยที่เราอยากมีหุ่นที่เตะตาสาวๆแล้วนะครับ และวิธีที่จะทำให้มีหุ่นเตะตาสาว มันก็ทำได้ด้วยการเพาะกายเท่านั้น ช่วงนี้เป็นช่วงอายุที่มีการผลิตฮอร์โมนมากเลยครับ ( ฮอร์โมนวัยรุ่นนั่นเอง ) ถ้าเราเพาะกายในช่วงอายุขนาดนี้ กล้ามเนื้อจะขึ้นได้เร็วมากครับ
* * * วัยทำงาน - ช่วงอายุ 25 – 40 ปี เวลาทำงาน ผมรู้สึกเครียดกับงานบ่อยๆเพราะมันมีปัญหาเยอะเหลือเกิน การเล่นกล้ามช่วยทำให้ผมผ่อนคลายได้มาก เพราะเวลาถูกกดดันมาจากที่ทำงานแล้วได้ใช้ลูกเหล็กมารองรับอารมณ์ของเรานั้น มันช่วยได้มากจริงๆ เห็นไหมว่าเราไม่ต้องเพาะกายเพื่อที่จะประกวดบนเวทีก็ได้ เราเพาะกายเพื่อเป็นการออกกำลังกายและแก้เครียดจากที่ทำงานก็ได้
* * * วัยที่เป็นหัวหน้าเขาแล้ว - ช่วงอายุ 41 – 60 ปี ในตอนที่ผมยังอยู่ในวัยทำงานนั้น ผมมองเห็นคนที่อยู่ในระดับหัวหน้าของผม “พุงป่อง” บ้าง “หลังค่อม” บ้าง ผมจึงตั้งใจไว้ว่าถ้าวันหนึ่งผมได้ไปยืนตรงตำแหน่งนั้น ( หมายถึงตำแหน่งระดับหัวหน้า ) ผมจะทำตัวให้ดูน่าเกรงขาม น่านับถือด้วยการมีหุ่นที่ดี
* * * วิธีที่จะทำให้ผมได้มีรูปร่างอย่างที่ต้องการได้ก็คือการเพาะกายนั่นเอง ถ้าคุณผู้อ่านอยู่ในช่วงวัยนี้ ( คือวัยที่เป็นหัวหน้าแล้ว ) ขอให้รู้ไว้ว่าลูกน้องของคุณที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้าคุณ เขาก็คิดดูถูกรูปร่างของคุณอยู่เพียงแต่เขาไม่ได้พูดออกมาเท่านั้นเอง ดังนั้น ถ้าคุณไม่อยากโดนดูเป็นตัวตลก
* * * ผมแนะนำว่าให้หาลูกเหล็กมาเล่นกล้ามตั้งแต่วันนี้เสียจะดีกว่า
อีกอย่างหนึ่งคือเพื่อนร่วมรุ่นของผม ที่มีอายุอยู่ในช่วง 50 ปี อยู่ๆก็ตายไปเฉยๆ ไม่ได้มีใครทำให้ตาย คือนอนแล้วไม่ตื่น ( คือตายแบบไหลตาย ) หัวใจวายไปดื้อๆเลย บางคนพอนอนแล้วตื่นมาก็เป็นอัมพฤกษ์ที่แขนข้างซ้ายกับขาข้างซ้ายไปเลย อาการพวกนี้ผมขอเรียกว่า “ภัยเงียบ”
* * * คนที่อยู่ในวัย 50 ปีจะเจอปัญหา “ภัยเงียบ” แบบนี้เยอะมาก เพื่อนรุ่นผมมีอยู่ 300 คน เจอ “ภัยเงียบ” แบบนี้ไป 15 - 20 คนเลยทีเดียว สาเหตุหนึ่งก็เป็นเพราะพวกเขาโหมงานหนัก อดหลับอดนอน แล้วดันไม่ได้ออกกำลังกายเลย อย่างน้อย ถ้าคิดว่าเราหุ่นดีอยู่แล้วไม่ต้องเพาะกายก็ได้ ก็ขอให้ถือเสียว่าการเพาะกายคือการออกกำลังอย่างหนึ่งแล้วกันครับ พยายามออกำลังเข้าไว้จะได้ไม่โดน “ภัยเงียบ” เล่นงาน
* * * วัยเกษียณ อายุ 60 ปีขึ้นไป - คุณพ่อของผมอายุยืนถึง 94 ปี นั่นเป็นเพราะท่านออกกำลังแบบยกของหนักๆมาโดยตลอด มันทำให้กล้ามเนื้อได้ออกแรงบ่อยๆ ร่างกายก็เลยแข็งแรงและอายุยืน คนที่อายุมากในวัยหลังเกษียณ ถ้าไม่ออกกำลัง เซลล์กล้ามเนื้อก็จะเริ่มหายไป และตามมาด้วยความเจ็บป่วยมากมาย
* * * ถ้าอายุมาก แล้วไปบริหารด้วยวิธีอื่นเช่นไปทำโยคะ มันอาจทำให้บาดเจ็บได้ เพราะมันเป็นการที่เราต้องไป “บิด” ข้อต่อ บิดกล้ามเนื้อต่างๆอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ซึ่งผิดกับหลักการเพาะกายนะครับ เพราะหลักการเพาะกายมันจะใข้การเคลื่อนไหวที่เป็นธรรมชาติ เช่นการเคลื่อนที่ของแขนขึ้นลง แล้วเราก็ใส่แรงต้านทานเข้าไป ( คือถือดัมเบลล์ไว้ในมือนั่นเอง ) เพียงเท่านี้ก็เป็นการทำให้กล้ามเนื้อแขนแข็งแรงแล้วโดยที่ไม่ต้องไป “บิด” ข้อต่อ “บิด” กล้ามเนื้อให้เสี่ยงต่อการบาดเจ็บแต่อย่างใด
* * * สมมติว่าตอนนี้คุณอยู่ในช่วงวัยทำงาน ( ช่วงอายุ 25 – 40 ปี ) และมีความคิดที่ว่าแค่ทำงานแต่ละวันก็เหนื่อยมากอยู่แล้ว กลับมาถึงบ้านก็อยากพักผ่อนแล้วก็อยากนั่งดูทีวีแก้เครียด ไม่อยากทำตัวให้เหนื่อยด้วยการออกกำลังกายอีก อันนี้ผมก็เข้าใจคุณนะครับเพราะว่าผมก็เคยผ่านช่วงนั้นมาแล้ว ผมถึงกล้ามาแนะนำคุณไงครับ
* * * แต่เพราะไอ้เจ้าความคิดแบบนี้ไงครับ ( คือความคิดที่ว่าแค่ทำงานแต่ละวันก็เหนื่อยมากอยู่แล้ว กลับมาถึงบ้านก็อยากพักผ่อนแล้วก็อยากนั่งดูทีวีแก้เครียด ไม่อยากทำตัวให้เหนื่อยด้วยการออกกำลังกายอีก ) มันถึงทำให้เพื่อนผม “ไหลตาย” บ้าง “เป็นอัมพฤกษ์” บ้าง ตอนอายุไม่ถึง 50 ปี คือเพื่อนผมพวกนี้เขาก็ต้องคิดว่าเรื่องพวกนี้มันคงไม่เกิดขึ้นกับตัวเราหรอกน่า อะไรแบบนี้ ( คือประมาทนั่นเอง ) แต่เมื่อ “ภัยเงียบ” พวกนี้มาถึงตัวแล้ว มันไม่ให้โอกาสคุณแก้ตัวเลย คือถึงเวลาก็ทำให้คุณเสียชีวิตไปเลย หรือเป็นอัมพฤกษ์
* * * ถ้าคุณไม่อยากเจอภัยเงียบเล่นงาน คุณก็ต้องเอาเรื่องของการออกกำลังกายเข้ามาอยู่ในวงจรชีวิตเสียตั้งแต่เนิ่นๆ คือว่าวงจรชีวิตของคนทำงานทั่วไปคือ กิน นอน ทำงาน ก็ให้เพิ่มเข้าไปเป็น กิน นอน ทำงาน แล้วก็ออกกำลัง
* * * คุณลองดูพวกสารคดีสมัยยุคสงครามเย็นดูนะครับ คือที่ประเทศอเมริกา เขาสร้างหลุมหลบภัยเอาไว้ เผื่อว่าจะเกิดสงครามนิวเคลียร์ขึ้นจริงๆ เขาจะได้เอาประชากรไปอยู่ในหลุมหลบภัยนั้น ถึงแม้ตอนนี้หลุมหลบภัยพวกนั้นจะไม่ได้ใช้แล้ว แต่เมื่อมีการทำสารคดี มีการเข้าไปถ่ายทำที่หลุมหลบภัยเหล่านั้น จะเห็นได้ว่าโครงสร้างของหลุมหลบภัยนั้นมีส่วนประกอบคือ ต้องมี ห้องพัก ห้องแพทย์ ห้องออกกำลังกาย ห้องสันทนาการ ( สันทนาการในที่นี้ ก็เช่นพวกห้องดูหนังส่วนรวม ฯลฯ )
* * * ถ้าเป็นหลุมหลบภัยที่มีขนาดเล็กลงมา ก็จะมี ห้องพัก ห้องแพทย์ ห้องออกกำลังกาย ( คือตัดห้องสันทนาการออกไป )
* * * ซึ่งการออกแบบหลุมหลบภัยนั้น เขาจะต้องคำนวณไว้เป็นอย่างดีแล้วว่า ถ้ามนุษย์จะต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในหลุมหลบภัยเป็นเวลานาน อะไรคือสิ่งที่จำเป็น ซึ่ง “การออกกำลังกาย” ก็อยู๋ในส่วนของสิ่งจำเป็นที่ว่านั้น ส่วนการพักผ่อนหย่อนใจ ( หรือที่เรียกว่าสันทนาการ ) ยังสามารถตัดออกไปได้ แต่ห้องออกกำลังจะต้องยังมีอยู่เสมอในหลุมหลบภัยนั้น ไม่ว่าขนาดของหลุมหลบภัยนั้น จะมีขนาดเท่าใดก็ตาม
* * * เห็นหรือยังครับว่าแม้แต่งานวิจัยของฝรั่งมันก็ชี้ชัดแล้วว่า “การออกกำลังกาย” มันสำคัญกับชีวิตมนุษย์ขนาดไหน มันสำคัญกว่าการพักผ่อนหย่อนใจด้วยการดูหนัง
* * * เมื่อยกเอางานวิจัยนี้ขึ้นมา ( หมายถึงงานวิจัยเรื่องที่ว่าการออกกำลังกายมีความสำคัญกับวงจรชีวิตของมนุษย์ โดยดูจากเรื่องหลุมหลบภัยนี้ ) จึงชี้ชัดว่า ถ้าต้องเลือกการนั่งดูทีวี หลังจากกลับมาจากที่ทำงาน เทียบกับการออกกำลังกาย หลังจากกลับมาจากที่ทำงานนั้น “การออกกำลังกาย” สำคัญกว่า เป็นสิ่งที่คุณต้องทำมากกว่าแม้ว่าคุณจะไม่เต็มใจทำก็ตาม แต่มันเป็นเรื่องจำเป็นครับ
* * * ผมก็เข้าใจอยู่ว่าเมื่อกลับมาจากที่ทำงานแล้วคุณก็อยากพักผ่อน แต่คุณต้องเข้าใจว่าคุณต้อง “ป้องกัน” เรื่อง “ภัยเงียบ” เอาไว้ก่อนนั้น เป็นสิ่งที่ดีที่สุด ไม่ใช่ปล่อยให้ภัยเงียบมาเล่นงานแล้วค่อยไปรักษาทีหลัง บางทีมันอาจจะไม่มีโอกาสให้คุณรักษาก็ได้นะครับ
* * * ณ.ตอนนี้คุณก็คงเห็นความสำคัญของการออกกำลังกายแล้วนะครับ คราวนี้ก็ต้องขอบอกว่าการออกกำลังกายมีหลายรูปแบบ มีทั้ง วิ่ง ว่ายน้ำ เล่นเวท ฯลฯ แต่ลองคิดดูว่าถ้าคุณกลับมาจากที่ทำงานถึงบ้านก็เป็นเวลาหัวค่ำแล้ว ถ้าไปวิ่งมืดๆ เดี๋ยวก็โดนรถเฉี่ยวไปอีก ไปว่ายน้ำก็ต้องแต่งตัวแล้วก็เดินทางไปสระว่ายน้ำอีก มันยุ่งยาก สู้เล่นเวทอยู่ที่บ้าน หรือคอนโดเลยดีกว่า พอเล่นเวทเสร็จก็กลับมาทานข้าว อาบน้ำ แล้วก็นอน
* * * ข้อมูลอีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจคือ การเพาะกายนั้น ตามหลักแล้วเราบริหารแค่ 4 ครั้งใน 1 อาทิตย์เท่านั้น คือเรายังมีเวลาพักตั้ง 3 วัน เพราะว่าตามหลักเพาะกายแล้ว มันจะต้องพักกล้ามเนื้อเพื่อให้มันเซลล์กล้ามเนื้อเพื่อให้มันฟื้นฟู
* * * แต่ถ้าเป็นการวิ่ง มันไม่ได้พูดถึงหลักการข้อนั้น เหมือนกับบอกเป็นนัยๆว่า “ต้องวิ่งทุกวัน” ดังนั้น ถ้าวันไหนคุณไม่ได้วิ่ง คุณก็จะรู้สึกผิดในใจแล้วว่าคุณทำผิดหลักการเรื่องการวิ่งหรือเปล่า เทียบกับการเพาะกายนั้น ถ้าคุณอยู่ในช่วง 3 วันที่พักตามตารางอยู่นั้น คุณก็ยังมั่นใจว่าคุณได้ทำทุกอย่างถูกต้องตามหลักการแล้ว เพราะการเพาะกายเขาไม่ให้คุณทำทุกวันอยู่แล้ว จะต้องมีช่วงพักกล้ามเนื้อด้วย
* * * การออกกำลังกายมีหลายอย่างก็จริง แต่การเพาะกายเป็นการออกกำลังที่คุณได้ทั้งสุขภาพที่ดีด้วย และได้ “บุคลิก” ที่ดีด้วย ถ้าคุณอยู่ในตำแหน่งที่เป็นหัวหน้าของคนอื่น คุณควรมีบุคลิกที่ดี ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นตัวตลกในสายตาลูกน้อง ( ถ้าไม่เชื่อ ก็ลองไปนั่งในห้องน้ำดู แล้วแอบฟังในห้องน้ำนั้น ดูว่าเวลามีลูกน้องมาล้างหน้าหรือมาปัสสาวะนั้น เขานินทาเราว่าอย่างไร )
* * * และตอนนี้ผมอายุ 54 ปีแล้ว ผมยืนยันได้ว่าการเพาะกายเป็นกีฬาที่ปลอดภัยมากที่สุด เพราะผมฝึกมาตั้งแต่อายุ 14 ปีแล้ว ผมจึงพูดคำนี้ได้
* * * ผมได้เห็นเพื่อนรุ่นเดียวกันที่เป็นนักบาสเก็ตบอล ,นักแบต และนักเทนนิส มักจะมีปัญหากับข้อเข่าในช่วงอายุ 50 ปีขึ้นไป แล้วเดาได้เลยว่าพออายุมากกว่านี้ ก็ต้องนั่งรถเข็นนั่นแหละครับ ในขณะที่การเพาะกายไม่ทำให้มีปัญหาเรื่องข้อเข่าเลย หนำซ้ำยังทำให้ข้อต่อ เส้นเอ็นต่างๆ มีสภาพที่ดีด้วย เพราะการเคลื่อนไหว เคลื่อนที่ต่างๆ มันมีพละกำลังจากล้ามเนื้อมาช่วยพยุง ( คนที่เคลื่อนไหว เคลื่อนที่แล้วไม่มีกล้ามเนื้อมาช่วยพยุง มันจะทำให้ข้อต่อและเส้นเอ็นต่างๆต้องรับงานหนัก ทำให้ข้อต่อและเส้นเอ็นสึกหรอเร็วขึ้น )
* * * สรุปว่า - คุณต้องออกกำลังกายเพื่อเป็นการ “ป้องกัน” โรคภัยแปลกๆที่จะมาหาคุณตอนที่อายุ 45 ปีขึ้นไปนะครับ อย่าได้ประมาทเชียว ทั้งโรคหัวใจ ความดัน ฯลฯ ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้น ( หมายถึงก่อนอายุ 45 ปี ) คุณก็แข็งแรงดี ไม่เคยต้องไปหาหมอเลย
* * * การเพาะกายเป็นกีฬาอย่างหนึ่งที่ทำให้คุณได้ทั้งสุขภาพที่ดีด้วย และได้บุคลิกที่ดีด้วย อีกทั้งเมื่อซื้ออุปกรณ์มาเล่นที่บ้าน อุปกรณ์ก็สามารถอยู่ได้หลายสิบปี ( เพราะมันเป็นเหล็ก ) ดีกว่าคุณไปซื้อลู่วิ่งราคาเป็นแสนเอามาวิ่งไม่กี่วันก็เลิกแล้ว แล้วพอทิ้งไว้นานๆเข้าไอ้เจ้าอุปกรณ์ราคาเป็นแสนนั้น เดี๋ยวก็ช๊อตโน่น ช๊อตนี่ ( เพราะเป็นวงจรอีเลคโทนิค ) จนใช้การไม่ได้ ในขณะที่ลูกเหล็กนั้น ถึงคุณจะหยุดเล่นไปหลายปี แต่มันก็ไม่เสียหายอะไร ( เพราะเป็นเหล็ก ) ถ้าวันหนึ่งได้มีโอกาสกลับมาเล่นอีก ก็เล่นต่อได้เลย
* * * สำหรับคุณสุภาพสตรีนั้น จากการที่ผมศึกษาตำราเพาะกายมา 30 กว่าปี ผมพบว่าการฝึกของนักเพาะกายหญิงนั้นเหมือนกันกับนักเพาะกายชายทุกประการ จะต่างกันก็ตรงที่น้ำหนักที่ใช้บริหาร นอกนั้น ไม่ว่าจะเป็นการพักระหว่างเซท จำนวนครั้งที่บริหาร ฯลฯ เหมือนกันทุกประการครับ พูดง่ายๆก็คือถ้าคุณสุภาพสตรีอยากจะออกกำลังด้วยการเพาะกาย ก็สามารถใช้วิธีฝึกของนักเพาะกายชายได้เลยครับ ใช้ตำราเดียวกัน
* * * ว่างๆ ผมก็อยากเชิญคุณให้ไปเยี่ยมชมเวบไซต์เพาะกายของผมบ้างนะครับ มีบทความดีๆให้คุณอ่านอีกเยอะเลยครับ อยู่ที่ https://www.tuvayanon.net/index.html นะครับ หรือค้นที่กูเกิ้ลด้วยคำว่า “เพาะกาย” ก็ได้ครับ จะอยู่ที่อันดับแรกของกูเกิ้ลเลย และรบกวนช่วยแชร์บทความอันนี้ให้ด้วยนะครับ อยากให้คนไทยเพาะกายกันเยอะๆครับ
โฆษณา