21 ม.ค. เวลา 03:09 • การตลาด

อัพเดทตลาดค้าส่ง “ฟู้ด เซอร์วิส” มูลค่า 2.6 ล้านล้านบาท

ตลาดค้าส่ง ฟู้ด เซอร์วิสในไทยมีมูลค่าสูงถึง 2.6 ล้านล้านบาท ถือเป็นตลาดที่ใหญ่มาก ทำให้มีช่องว่างให้ผู้มาใหม่ได้เข้ามาเจาะตลาด อย่างบิ๊กซี ของเสี่ยเจริญ สิริวัฒนภักดี ที่ส่ง Big C Food Service และเซ็นทรัล รีเทล กับการส่งแบรนด์ GO Wholesale เข้ามาร่วมแจม
พี่ใหญ่อย่าง Makro ธุรกิจศูนย์จำหน่ายสินค้าแบบขายส่งในระบบสมาชิกที่คนไทยรู้จักและคุ้นเคยเป็นอย่างดี ดำเนินการภายใต้ บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) ซึ่งอยู่ในเครือเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งธุรกิจค้าส่งของ Makro จะมี Makro และ Makro Food Service ส่วนธุรกิจไฮเปอร์มาร์เก็ต ธุรกิจค้าปลีกในเครือคือ Lotus’s โดยที่ผ่านมาได้มีแผนในการเร่งเปิดสาขา Makro – Lotus’s เพื่อรับลูกค้าหน้าร้านกว่า 2,800 แห่ง ใน 73 จังหวัด
เมื่อไม่นานมานี้ได้มีการเปิดโมเดลธุรกิจค้าส่งรูปแบบใหม่ในชื่อ “Hybrid Wholesale” ซึ่งนำจุดแข็งของทั้ง Makro และ Lotus’s มารวมกัน เพื่อขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมทั้งผู้ประกอบธุรกิจและผู้บริโภครุ่นใหม่
จุดเด่นของ Makro Food Service คือ การเป็นศูนย์จำหน่ายสินค้าที่มีหลากหลายโมเดล รวมทั้งมีประเภทสินค้าที่หลากหลายทั้งอาหารสด อาหารแห้ง และสินค้าอุปโภค ฯลฯ ที่เน้นให้บริการผู้ประกอบการร้านค้าปลีกรายย่อย ในส่วนกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทฯ ได้แก่ กลุ่มธุรกิจโรงแรม ภัตตาคาร และร้านอาหาร(โฮเรก้า) ธุรกิจค้าปลีก ซึ่งรวมถึงภัตตาคารขนาดใหญ่ทั้งประเภทผู้ประกอบการอิสระและภัตตาคารนานาชาติ ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจการให้บริการด้านอาหารแก่ลูกค้าคู่สัญญา ฯลฯ
สำหรับ Big C Food Services มุ่งมั่นที่จะเป็นแหล่งช็อปปิ้งของคนในชุมชนใกล้เคียง นำเสนอสินค้าและบริการที่คุ้มค่าที่สุดในชีวิตประจำวัน มีสินค้าหลากหลายเพื่อตอบโจทย์ทุกธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าปลีก ร้านโชห่วย ร้านอาหาร โรงแรม ธุรกิจจัดเลี้ยง บริษัท ห้างร้าน และธุรกิจบริการอื่นๆ พร้อมด้วยบริการพิเศษ คัด ตัด แต่ง สำหรับลูกค้าและผู้ประกอบการที่ต้องการประหยัดเวลาในการเลือกซื้อสินค้า และต้องการลดต้นทุนในการทำธุรกิจ
ขณะที่ Go Wholesale ของเซ็นทรัล รีเทล เรียกว่าเป็นน้องใหม่ของตลาดนี้เลย ซึ่งเมื่อวันที่ 19 มกราคมที่ผ่านมา Go Wholesale ได้เปิดสาขาที่ 5 บนพื้นที่กว่า 15,000 ตารางเมตร แม้ว่าที่ผ่านมา GO Wholesale จะเปิดมาแล้วถึง 4 สาขาทั้งสาขาเชียงใหม่, สาขาพัทยาใต้, สาขานิคมอมตะนคร จ.ชลบุรี และสาขาศรีนครินทร์ ที่ทาง GO Wholesale ถือเป็นพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ แต่การเปิดสาขาที่ 5 ถนนพระราม 2 นับเป็นสาขาแรกที่บุกตลาดประตูกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก
จุดเด่นของ Go Wholesale คือแผนกอาหารสดซึ่งมีตั้งแต่อาหารทะเลเป็นๆ ที่คิดเป็นสัดส่วนกว่า 40%, เนื้อคุณภาพพรีเมียม และการให้บริการตัดแต่งสินค้าตามความต้องการของลูกค้า, การรับชำระสินค้าผ่านบัตรเครดิตที่ไม่จำกัดเพียงธนาคารรายเดียว รวมทั้งยังมีการรับสิทธิพิเศษจากบัตรสมาชิกเดอะวัน (The1) มาใช้ร่วมกับศูนย์ฯ ด้วยการจัดส่งสินค้า(เดลิเวอรี) ผ่านแอปพลิเคชัน Go Wholesale
ขณะเดียวกัน กลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักคือ กลุ่มธุรกิจโฮเรก้า (โรงแรม, ร้านอาหาร, ธุรกิจจัดเลี้ยง) กลุ่มผู้ชื่นชอบการทำอาหาร กลุ่มผู้ให้บริการอาหารในโรงงาน โรงพยาบาล และหน่วยงานอื่นๆ รวมถึง ร้านค้าปลีกขนาดเล็ก (โชห่วย) ซึ่ง Go Wholesale ได้มีการวางแผนช่องทางจำหน่ายไว้ทั้งออฟไลน์ และออนไลน์ พร้อมกับวางกลยุทธ์การทำตลาดภายใต้การนำเสนอสูตรแห่งความสำเร็จให้ผู้ประกอบการในด้านต่างๆ เพื่อรองรับความต้องการที่ตรงใจในทุกด้าน
ส่วนแผนในระยะยาว Go Wholesale ตั้งเป้าที่จะขยายสาขาให้ได้ 40-50 สาขา พร้อมกับตั้งงบลงทุนไว้ประมาณ 20,000 ล้านบาท ซึ่งภายในปี 2567 GO Wholesale มีแผนเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีกจำนวน 7 แห่ง เน้นหัวเมืองใหญ่ โดยเฉพาะจังหวัดท่องเที่ยวที่มีผู้ประกอบการร้านอาหาร จะเป็นในกรุงเทพฯ 3 แห่ง และต่างจังหวัด 4 แห่ง งบลงทุน 3,000 ล้านบาท ทำให้สิ้นปี 2567 จะมีสาขาประมาณ 12 แห่ง ปัจจุบันมีสมาชิกอยู่ประมาณ 200,000 ราย พร้อมกับตั้งเป้าคืนทุน สามารถมีกำไรได้ภายใน 2 ปี หรือหลังจากที่มีสาขาครบ 20 สาขา
เรียกว่าเป็นสมรภูมิที่ดุเดือดไม่น้อยเมื่อ 3 แบรนด์หลักแห่งวงการค้าส่งเข้ามาชิงส่วนแบ่งเค้กก้อนใหญ่ของตลาดนี้ ต้องจับตาดูกันต่อไปว่าทั้ง Makro Food Service, Big C Food Service และ Go Wholesale จะทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย รวมถึงจะสร้างความนิยมให้กับผู้ประกอบการร้านอาหารและร้านค้าปลีกรายย่อยได้มากแค่ไหน แน่นอนว่าคนที่ได้รับผลประโยชน์คงไม่ใช่ใครที่ไหนแต่คือลูกค้าหรือผู้ประกอบการรายย่อยนั่นเอง
โฆษณา