21 ม.ค. เวลา 05:01 • ความคิดเห็น
เรื่องที่เรารู้จักคำว่า จักรวาล ..แต่จิตของเราก็ไม่ได้ไปไหน อยู่ในเรือนกาย ที่มีตา เห็นภาพดวงดาว ประดิษฐ์อุปกรณ์อะไรมากมาย ก็ด้วยอาศัยตา..มองดู ..มองดูแล้ว เกิดเรื่องราวต่างๆเป็นอารมณ์นึกคิด เกิดจินตนาการ ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต .ด้วยอารมณ์ที่เกิดขึ้น .สุดแต่จะนำพา..ไหลขึ้นมาปรุงแต่ง เรื่องราวต่างๆ เกิดทฤษฎีนั่นนี่ มากมาย แรงโน้มถ่วง มากมายกายกอง
แต่แรงกรรม ที่กักขังจิตให้ยึดติดกรรม ต้องกินนอน ในเรือนกายที่แก่เฒ่าชรา พออุปกรณ์การรับรู้ เสื่อมถอย หูตาฝ้าฝาง จักรวาลก็ไร้ความหมาย ..จะแก้ไขเรือนกายอย่างไร ..พระเจ้าองค์ไหน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหน ก็ช่วยไม่ได้ กายมันเป็นธรรมชาติ เกิดแล้วตายแน่นอน ..เน่าเปือยแน่นอน สิ่งที่ประกอบเป็นเรือนกาย ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตไฟ ธาตุลม ..ที่มาประกอบเป็นเรือนกาย .ก็แยกย้ายจากกันไป..จะเรียกว่า กลับคืนสู่มหาธาตุในจักวาลได้มั้ย ..สิ่งนี้ ศักดิ์สิทธิ์แน่นอน
..สิ่งที่ให้ได้กายมาอาศัย ไม่รู้ว่า..ทำไม่ถึงให้กายมาเป็นมนุษย์หรือสัตว์ ..ถึงเวลา ก็ต้อง ส่งคืน ..ไม่มีกายให้ใช้อีกต่อไป ส่วนจิตไม่มีกาย ..ใครที่ไหนจะช่วย ..มีแต่ธาตุทั้งสี่ ที่จะช่วยสงเคราะห์ให้ ไปประกอบให้จิตได้อาศัย ..ไม่รู้ว่าจะประกอบเป็นกายอะไรในจักรวาล มีมิติเป็นอย่างไรบ้างหนอ มีรูปธรรมนามธรรมอะไรให้จิตได้อาศัย ..สิ่งที่ยิ่งใหญ่ในจักรวาลก็จะประกอบให้..เป็นไปตามกรรมบันดาลให้ .ด้วยกฎของกรรมในจักรวาล
จิตดวงใดชอบอะไร สะสมอะไรไว้ ..ธาตุทั้งสี่เป็นสักขีพยาน ..จะพาจิตไป ..ไปประกอบเป็นสังขารกรรม ตามที่ชอบ ..เค้าจึงว่า ..เวลาตาย ก็ที่ขอบๆๆ ชอบทำอะไรไว้ ..ธาตุทั้งสี่ก็จะสงเคราะห์ประกอบให้ ..ไปที่ชอบ ประกอบเป็นรูปให้ ..มีภพภูมิ สถานที่ให้ นรก เปรต อสุรกาย ..เทพยดาอืนทร์พรหม ไปจนถึงพระนิพพาน ..มีให้เลือก .ได้ ..คิดได้เลือกอะไร แต่ต้องลงมือทำด้วยกายวาจาใจ ดินฟ้าอากาศจะเป็นสักขีพยานในการกระทำ ..เหมือนแว่นวิเศษสอดส่อง จิตดวงใด กระทำอะไรไว้บ้างในจักรวาล ..เค้าเรียกว่า ตาวิหัสนัยน์
..เรามองเห็นวัตถุภายนอกกาย ได้ด้วยตา .ด้วย วิญญาณทั้งหก ..เราสัมผัสได้ วิญญาณทั้งหก ก็รู้จดจำเก่ง บันทึกภาพแสงสีเสียง ..เปิดเป็นประตูที่กว้างใหญ่ไพศาล ..มีมายาอารมณ์ต่างๆเกิดขึ้น ..รู้จักจากวิญญาณทั้งหก ..วิญญาณทั้งหกนี้ชั่งจดจำ ..คนนั้นคนนี้เกลียด คนนั้นติคนนี้ชอบ คนโน้นคนนี้พูดไม่ดี ..คนนั้นคนนี้นินทา คนโน้นสรรเสริญเยินยอ ..ชอบอกชอบใจ
..บ้างเป็นขุนพลอยพยัก ..มันก็ชอบ ..หลงใหล.. โลกธรรม เค้าครอบวิญญาณทั้งหก อยู่ ..ไม่ได้ไปไหน ..ให้ยึดแต่สิ่งที่วิญญาณทั้งหกนำเข้า..เอาวัตถุภายนอกเข้ามา
..มีตา มองดูท้องฟ้า ในยามค่ำคืน มองดูดาว ดวงนั้น ดวงนี้สว่างไสว มีดาวตรงนั้นขึ้นตรงนี้ ลง มองดาว..ไปเรื่อยๆ ดวงนี้ดวงนั้น สวยสว่างไม่สว่าง แต่กลับมองไม่เห็นเรื่องราวของอารมณ์ที่ปรุงแต่ง อารมณ์นึกคิด ..ที่ให้ใช้ตามองดูดวงดาว ..ผู้ที่ใช่มองดาว..เป็นจิต หรือ อารมณ์ที่สั่งให้ตาดูดาว..
ตามองดูดาวได้ไกลโพ้น .แต่กลับมองไม่เห็นกายก็เป็นวัตถุชิ้นหนึ่ง ให้จิตนี้หลงใหล ยึดถือ วัตถุมันดีเกิดมา รูปนึ้ปั้นขึ้นมา ด้วยวัตถุธาตุ ..รูปปั้น ..มันถูกลมถูกแดด ..ผ่าลมฟ้าลมฝน .นานไปมันก็ผุ รูปก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ..หมุนเดือนหน้า ไปสู่ความเสื่อมสลาย ..แตกดับกระจัดกระจาย ..รูปที่ปั้นมา ..ก็ไม่มีเป็นรูปอีกแล้ว นั้นก็เเหมือนกายนี้ เป็นวัตถุให้จิตยึดถือชั่วขณะหนึ่ง ..ใช้กายไปทำอะไรได้บ้าง .. แต่นั้นและ มันก็เป็นเรื่องราวของคำว่า สักกายทิฏฐิ ..ยึดถือเรือนกาย ที่จิตอาศัย..
โฆษณา