21 ม.ค. เวลา 14:10 • ไลฟ์สไตล์
เมื่อก่อนนี้..เราก็ปฏิบัติธรรมของเราไป ..เรานับถือพระที่ท่านสอนเรา ..ท่านบอกว่าให้มาเรียน เรื่องราวของธรรมโลกุตระ เรียนแล้วจะสนุก ..เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสนุกยังไง เพราะเราก็ไม่ค่อยไปสนใจเรื่องราวของคาถาอาคม ไสยศาสตร์ คนทรง เจ้าพ่อเจ้าแม่ เราก็ออกจะปฏิเสธที่จะไปยุ่งเกี่ยว ในเรื่องราวเหล่านี้
..แต่มันก็มีน้องคนหนึ่ง ที่เค้าไปถูกเรื่องราว ของน้ำมันพราย ..มันก็เลยมีเรื่องราว ที่เราก็สงสัย ว่าทำไมเค้าเห็น..รับรู้ในสิ่งที่มองไม่เห็น นั่งปฏิบัติธรรม ก็เห็นนั่นนี่ ..เราก็สงสัยว่า เค้าก็ไม่ค่อยได้ปฏิบัติธรรม ..ทำไมถึงเห็น ..ตอนหลังก็ค่อยๆเข้าใจ เรื่องสิ่งที่แฝงในตัวเค้า ..นำพาให้เค้าเห็น ..แล้วพวกนี้ ก็ทำให้เค้า ..เวลาโมโหโกรธ ..อารมณ์ก็จะแรง
.. เราก็ได้สังเกต เรียนรู้ ในสิ่งที่พระท่านแนะนำสอนใก้ ให้มองดูเค้าเป็นครู..ให้เราเรียนรู้จักเรื่องราวของไสยศาสตร์มนดำ จิตที่ถูก ..มนต์ดำ ..ตกเป็นทาสของเรื่องราวไสยศาสตร์ .. จนมีครั้งหนึ่ง มีคนมาทำเรื่องราวไสยศาสตร์ ..ที่ติดมากับตัวเค้า
พระที่เรานับถือ ..ก็ให้เค้ามาทำ .ทำพิธีอะไรของเค้า ..เราก็ไปอยู่ในพิธีของเค้า ..แต่เรานั่งสมาธิของเรา ..เราก็ดูเค้าทำอะไร มีการจุดเทียน เป็นร้อยเล่มรอบตัวเรา แล้วเค้าก็ร่ายเวทมนต์ สวดของเค้า จนเทียนที่รอบตัวเรา หมดเล่ม ..เราก็ได้เรียนจัก ..เรื่องราวไสยศาสตร์ คาถาอาคม ที่เค้าท่อง มันเรียกร้องอะไรมา .มีอะไรแฝง ในตัวที่คนนั้นท่องอยู่ ..มันมีเรื่องราว ของ สิ่งที่เหมือนเราไปจับไปสัมผัสโคลน มันก็ติดมือเรามา แล้วเราจะล้างมันออกได้อย่างไร
(เรื่องราวพวกนี้ ที่จริงไม่อยากจะเล่าเลย .ไม่อยากให้ใครมีจิตไปปฏิพัทธ์ เรื่องราวเล่านี้ เพราะมันล้างออกยาก แต่นั่นแหละเราอยู่ในสิ่งรอบตัวเรา มันรกรุงรัง ด้วยเรื่องราวเหล่านี้ ..ไปสัมผัสก็เปรอะเปื้อนตัวเอง ต้องอาศัย น้ำธรรม แสงสีรัตนะ ชำระล้างออกไป นั่นก็คือการนำกายมาประพฤติปฏิบัติธรรมในรอยทั้งสี่ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ..
นั่นก็ทำให่เราได้เรียนรู้จักเรื่องราวของไสยศาสตร์บ้าง ว่าทำให้เกิดอะไรขึ้น ทำไมคนถึงไปหลงใหล ..ทำไมถึงปิดกั้นการประพฤติปฏิบัติธรรม ตามรอยทั้งสี่ขององค์พระสัมมาสัมพุเจ้า ..ทำไมเค้าจึงไม่สามารถปฏิบัติธรรมได้ ..ไม่สามารถสร้างบุญกุศลได้ มีแต่จะเรียกร้องหากรรม เรียกร้องให้ร่ำรวย โลภอย่างเดียว ..ไม่สามารถจะเรียนรู้จักกรรมได้เลย ..แล้วเรื่องที่จะไปลดละความโลภโกรธหลง ..เค้าก็ไม่สามารถทำได้เลย เรียกว่า ปิดกั้นไม่สามารถกระทำได้เลย
เรื่องราวเหล่านี้ .งเราไม่สามารถไปแก้ไข อะไรได้ ..เราก็ดู..ผู้ที่ขึ้นมาเป็นใหญ่ ย้ายตำแหน่งใหญ่ ..เค้าก็ต้องไปเชิญ ..คนมามาทำพิธี ..เซ่นไหว้ ..หัวหมู เป็ดไก่ ..มีศาลต่างๆ คนก็ไปเรียกร้องให้ช่วย ..แต่เราก็ไม่เคยคิดเรื่องกรรม เรื่องบุญกุศล ..นั่นเราล้วนทำมาเอง ที่จริง ควรจะทำบ้าง ให้เค้าได้อนุโมทนา ..ส่งบุญกุศลให้เค้า ..ที่จะช่วยให้เค้่ามีเรี่ยวแรง
แต่นี่คิดว่า บวงสรวงทำพิธีอะไรนั้น มันไม่เกิดเป็นบุญ โลกวิญญาณเค้าต้องการบุญ สิ่งไปกระทำด้วยเรื่องราวไสยศาสตร์ พิธีกรรมไสยศาสตร์ .มันทำให้โลกวิญญาณเค้าร้อน ..ไปเรียกร้องจิตเร่ร่อน มาอยู่ คนที่ดีๆจิตที่ดีๆเค้าก็ไม่อยู่แล้ว เหมือนคนเรานี่แหละ..จิตบางดวง รับบุญไม่ได้เสียด้วย เหมือนตอนเป็นคน เห็นใครทำบุญก็ติเตียนว่างมงาย ..ตายไปมันก็ไม่รู้จักบุญ บุญรอยมาตรงหน้าก็หยิบจับไม่ได้ ก็อดอยากไป..
เจ้าพ่อเจ้าแม่ ..เค้าก็ทำบุญไม่ได้ ไม่มีกายมนุษย์ที่จะกระทำ ..คนก็ก็ไปเรียกร้องเค้า บางสถานที่ .เค้าก็เป็นผู้ไม่มีบุญ คนไปเซ่นไหว้ เค้าก็มาอยู่กินเครื่ิงเซ่น ..ก็จิตไม่มีบุญยังกินเครื่ิงเซ่นไหว้ ..อดอยาก ..นี่ถ้าคนไม่เอาเครื่องเซ่นไหว้ให้ก็อดอยาก จิตไม่มีบุญกเป็นอย่างนั้น
คราวนี้ เมื่อนำพากายมี่พ่อแม่ให้มา ไปยึดถือไปกราบไหว้ สิ่งเหล่านี้ มันก็เหมือนเราไปสัมผัสดินหม้อ..มันก็เปรอะเปื้อนตัวเอง ..แล้วจะล้างออกยังไง ..เอาสิ่งเหล่านี้ออกยังไง มันมองไม่เห็นเสียด้วยด้วยตาที่อาศัยในเรือนกาย ตาเค้ามีไว้ดูข้างนอก ไม่สามารถใช้ตามองดู .เข้าไปภายในได้
..นั้นก็เป็นเรื่องราวที่ยาก ..ที่ว่า ไปแก้ไขใครไม่ได้ ..เค้าต้องแก้ไข ด้วยจิตของตัวเอง ในเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่เป็นนามธรรม ในเรือนกาย อารมณ์ความรู้สึกนึกคิด..อะไรต่างๆ จะเอาอะไรไปแก้ไข ..มันเป็นเรื่องราวที่จิตผู้นั่นอาศัยกาย เป็นเหมือนเจ้าของกายชั่วขณะหนึ่ง ต้องแก้ไขเอง ..ไม่มีพระเจ้าองค์ไหน ยิ่งใหญ่กว่าจิตที่อาศัยในเรือนกายนั้น
แม้แต่เทวทัตที่อยู่ใกล้พระพุทธเจ้า ..มีหูได้ยินพระสุรเสียง .แต่ก็ไม่สามารถเข้าไปถึงจิตของเทวทัตได้ เทวทัตก็เขื่ออารมณ์ความนึกคิดปรุงแต่งในเรือนกาย ให้อยากจะคิดครองศาสนา เป็นใหญ่ในศาสนา .นั่นก็เรื่องที่ว่า จิตเทวทัต เป็นใหญ่ในเรือนกายที่อาศัย พระพุทธเจ้าก็ไปแก้ไขให้ไม่ได้ ที่สุดก็ต้องลงนรกอเวจี
ยุคสมัยกึ่งพุทธกาล ..โลกเค้าก็ส่งมายา ไสยศาสตร์ ..มนต์ดำ ให้จิตที่โลภ .โลกส่งเสริม ให้จมอยู่กับโลกธรรม ให้ยึดวัตถุปัจจัย ทั้งมีชีวิตไม่มีชีวิต ว่ามีความสำคัญ ..ทำให้ร่ำรวย สุขสบายกาย ให้มุ่งจมอยู่กับโลก อารมณ์ที่ห้อมล้อมจิต สลัดทิ้งไม่ได้เลย ..ก็ต้องเดินตาม..เทวทัตไป
..เค้าว่า ทางเดินตามมันกว้างขวาง ประตูประดับด้วยแสงสีมากมาย เข้าไปแล้ว ก็จะมองไม่เห็นพระ วิญญาณทั้งหกก็ถูกปิด .มองไม่เห็นธรรม ที่จะช่วยจิตได้เลย ไม่มีพระที่สอนให้สร้างบุญกุศลบารมีหนีกรรมได้ ..เข้าไปง่าย..แล้วออกมาไม่ได้เลย ..ชีวิตก็หมดจบไปหนึ่งชาติ ..ไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือไปเลย ..อริยะทรัพย์ที่เค้าพูดถึงกัน .ในจิตไม่มีเลย ..มีแต่กรรม..เสียชาติเกิดเป็นมนุษย์ไปหนึ่งชาติ ..
สิ่งที่น่ากลัว ก็ตอนไม่มีกาย ..จิตเปลี่ยนภพชาติ..ไปที่ใดน่ะ ..เค้าบอก ส่วนมากส่วนใหญ่ จิตเปลี่ยนแปลงไปอยู่อบายภูมิ .แล้วเมื่อไหร่ จะได้กายมนุษย์ครบอาการสามสิบสอง ..เกิดมาแก้นิสัยสัดาน แก้ไขกรรม อก้ไขหนี้กรรม ให้เป็นอโหสิกรรม เหมดบัญชีกรรม ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด นับชาติไม่ได้
ธรรมโลกุตระ ..หมายถึง ธรรมจากจิตผู้ที่เข้าไปถึงธรรม ..ธรรมที่นำพาจิตเดินละเรื่องราวโลภโกรธหลง . ท่านก็ชี้ทางให้เดิน ..เดินตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้จิตหนีกรรม หมดกรรมที่ต้องเกิด ..ไม่มีกรรม ก็ไม่ต้องมาเกิดอีก ..เกิดจนนับชาติไม่ได้ ว่าเกิดเป็นอะไรมาบ้าง ..ไม่รู้ได้เลย
เรื่องราวของไสยศาสตร์ คาถาอาคม เวทมนต์ มนต์ดำ พิธีกรรมไสยศาสตร์ เครื่องรางของขลัง มันแฝงด้วย ของร้อน เหมือนอณูควันไฟ หมอกควันดำ ปกคลุมไปทั่ว ..เดือดร้อนไปทั้งโลกวิญญาณ ..ที่อยู่ใกล้ชิดกับโลกมนุษย์ พอโลกวิญญาณเค้าร้อนไปด้วย ก็เรียกร้องหาบุญ
แต่มนุษย์ไม่รู้จักบุญ ..กลับไปหาเสาะแสวงหาอะไรมากัน ..อุปโลกน์เรื่องนั้นเรื่องนี้ ..เอามาคิดว่าดี ..แต่กลับไปทำลายเค้า ทำให้เค้่เดือดร้อน ..เค้าว่า วุ่นวายทั้งโลกมนุษย์ โลกวิญญาณ..ที่ใกล้ชิดมนุษย์ เปรตอสุรกาย จิตที่เร่ร่อน..เดือดร้อนกันถ้วนหน้า ..ก็บุญกุศลมันทำได้ตอนมีกายเป็นมนุษย์ .เมื่อมนุษย์ไม่รู้จักบุญกุศล ที่จะช่วยโลกวิญญาณบ้าง เมื่อเค้าทุกข์ร้อน เข้ามาขอบบุญเสียหน่อย ..มนุษย์ก็เล่าร้อนไปด้วย. เพราะทุกข์ของเค้า ก็เจ็บป่วยกันไป ..เหมือนรับเชื้อโรค เค้ามาในเรือนกาย ..
โฆษณา