การประหารชีวิตด้วยไนโตรเจนครั้งแรกของโลก น่ากังขาอย่างไร?
กลายเป็นแง่มุมแหลมคมด้านสิทธิมนุษยชน เมื่อเคนเนธ ยูจีน สมิธ นักโทษวัย 58 ปี
ถูกตัดสินประหารชีวิตในคดีฆาตกรรมตั้งแต่ปี 1996 เป็นนักโทษคนแรกของประเทศที่ถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยวิธีรมแก๊สไนโตรเจน และอาจถือว่าเป็นคนแรกของโลก
สมิธถูกตัดสินโทษประหารชีวิตในข้อหาฆาตกรรม เอลิซาเบธ เซนเน็ตต์ (Elizabeth Sennett) ภรรยาของบาทหลวงชาร์ลส์ เซนเน็ตต์ ซีเนียร์ (Charles Sennett Sr.) โดยเขาได้รับการจ้างวานจาก บิลลี เกรย์ วิลเลียม (Billy Gray Williams) ที่ได้รับการจ้างวานอีกต่อหนึ่งจากบาทหลวงเซนเน็ตต์ และมี จอห์น ฟอร์เรสต์ พาร์คเกอร์ (John Forrest Parker) ร่วมลงมือฆาตกรรม
จนเมื่อเวลาประมาณสองทุ่มครึ่งเมื่อวันที่ 25 มกราคมที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น ที่ทัณฑสถานโฮลแมน ในเมืองแอตมอร์ มลรัฐอลาบามา จึงมีการประหารนักโทษรายดังกล่าวด้วยการใช้แก๊สไนโตรเจน ทำให้เกิดคำถามตามมามากมาย
ซอนย่า โซโทเมเยอร์ หนึ่งในคณะผู้พิพากษา แสดงความเห็นแย้งว่า “หลังจากล้มเหลวในการสังหารสมิธในความพยายามครั้งแรก อลาบามาจึงเลือกเขาเป็น 'หนูทดลอง' เพื่อทดสอบวิธีการประหารชีวิตที่ไม่เคยมีมาก่อน ในขณะที่ทนายความของสมิธกล่าวแย้งว่า การดำเนินการต่อด้วยการประหารชีวิตเขา ภายใต้เงื่อนไขที่ยังไม่ได้พิจารณาเหล่านี้ จะถือเป็นการละเมิดการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกา
แล้วไนโตรเจน มันฆ่าคนได้อย่างไร?
ภาวะพิษจากไนโตรเจน หรือ Nitrogen Toxicity เป็นภาวะที่ร่างกายได้รับไนโตรเจนเข้มข้นสูงเป็นระยะเวลานาน ปริมาณความเข้มข้นของไนโตรเจนที่สูงในกระแสเลือดจะทำให้เกิดการเพิ่มจำนวนของ reactive nitrogen species (RNS) ซึ่งเป็นอนุมูลอิสระที่มีส่วนสร้างความเสียหายระดับเซลล์ โดยตัว RNS จะกระตุ้นการทำงานของ c-Jun N-terminal kinase (JNK) ซึ่งมีส่วนทำให้เกิดการทำงานที่ผิดปกติของ mitochondria และ nucleus ของเซลล์ ทำให้กระบวนการผลิตพลังงานและสังเคราะห์โปรตีนภายในเซลล์ไม่สามารถทำงานได้
นอกจากนี้ c-Jun N-terminal kinase (JNK) ยังยับยั้งการทำงานของ tumor necrosis factor receptor 1 (TNF-R1) ซึ่งเป็นตัวรับของระบบภูมิคุ้มกันที่ส่งสัญญาณให้มีการทำลายเซลล์ที่มีการทำงานที่ผิดปกติ เพื่อไม่ให้ร่างกายได้รับอันตรายจากการทำงานที่ผิดปกติและการกลายพันธุ์ของเซลล์ แต่เมื่อตัวรับดังกล่าวถูกยับยั้ง ร่างกายจึงไม่สามารถซ่อมแซมหรือทำลายเซลล์ที่เสียหายได้ นอกจากนี้การได้รับไนโตรเจนความเข้มข้นสูงยังทำให้อัตราส่วนออกซิเจนลดลง ทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดออกซิเจนอีกด้วย
การได้รับไนโตรเจนความเข้มข้นสูงอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนรุนแรง ไตวายเฉียบพลัน สับสน มึนงง เห็นภาพหลอน และหมดสติ และในกรณีที่ได้รับในความเข้นข้นสูงมากๆ อาจทำให้หมดสติเฉียบพลันและเสียชีวิตได้
กรณีที่ใกล้เคียงที่สุดที่มักเกิดขึ้นได้บ่อย คือกรณีที่เกิดขึ้นกับนักดำน้ำ ที่ต้องพึ่งพาอากาศเสริมในการหายใจใต้น้ำ จะเกิดภาวะ Decompression sickness (DCS) หรือ Bend ที่เกิดจากการที่ร่างกายมีฟองก๊าซไนโตรเจนสะสมมากเกินไป เมื่ออยู่ใต้น้ำนานๆ จึงเริ่มมีการสะสมของก๊าซไนโตรเจนภายใต้สภาวะแรงกด
ก๊าซไนโตรเจนนี้ยังไม่เกิดการขยายตัวเป็นฟองในขณะที่เราอยู่ใต้น้ำ แต่เมื่อเราเริ่มขึ้นสู่ผิวน้ำ ฟองก๊าซไนโจนที่สะสมอยู่จะขยายตัวใหญ่ขึ้น และเกิดการสะสมในเลือดและเนื้อเยื่อต่างๆ หากปล่อยไว้อาจเกิดภาวะอมพาต(Paralysis) หมดสติและเสียชีวิตได้
ก่อนการประหารชีวิต มลรัฐอลาบามาถูกวิพากษ์วิจารณ์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อเรียกร้องให้ยุติการประหารชีวิตด้วยวิธีการสูดไนโตรเจน พยานที่เข้าร่วมสังเกตการณ์การประหารชีวิตเผยว่า สมิธได้กล่าวก่อนจะถูกประหารชีวิตว่า
“คืนนี้แอละแบมาทำให้มนุษยชาติต้องถอยหลังหนึ่งก้าว ขอบคุณที่มาสนับสนุนผม รักทุกคนนะครับ” ในขณะที่สหประชาชาติประณามการประหารชีวิตและการทรมานตามอำเภอใจในครั้งนี้ ว่าเป็นการทดลองในมนุษย์ที่มีความรุนแรง นอกจากนี้ ชุมชนชาวยิวที่เคยประสบกับการโดนรมก๊าซเพื่อประหารชีวิตในช่วงยุคนาซีเยอรมนียังออกมาประณามการประหารในลักษณะดังกล่าว
ฝ่ายที่คัดค้านการลงโทษประหารชีวิตด้วยวิธีนี้ ระบุว่า การใช้แก๊สไนโตรเจนอาจทำให้ผู้รับโทษทรมาน และแก๊สชนิดนี้ก็เป็นอันตรายต่อผู้อยู่ในกระบวนการที่สูดดมแก๊ส ในขณะที่ด้านผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์บางส่วนออกมาประณามการประหารชีวิตด้วยวิธีการดังกล่าว เนื่องจากอาจเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดระหว่างกระบวนการ ตั้งแต่อาการชักกระตุกอย่างรุนแรงไปจนถึงการล้มป่วยจนอยู่ในสภาพเป็นผัก หรือภาวะเจ้าชายนิทรา
ข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ระบุว่า การประหารชีวิตด้วยการรมแก๊สนักโทษรายนี้ อาจก่อให้เกิดความทรมานอย่างแสนสาหัส เป็นการทารุณอย่างโหดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือเป็นการปฏิบัติที่เลวร้าย พร้อมกับเรียกร้องให้ระงับการใช้วิธีนี้
อ้างอิง
- 19
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2024 Blockdit
