28 ม.ค. เวลา 02:46 • ปรัชญา
การที่เราพึ่งตนเองได้ ก็ต้องมีที่มาที่ไป เหมือนเราเกิดมาได้กายนี้มา เราก็ต้องรู้จักกายที่พ่อแม่ให้มาอาศัย กายนี้มีพระคุณ ให้เราไปช่วยกระทำเรื่องราวดีๆ ทำสิ่งดีๆ รวมๆที่เค้่าว่ากายวาจาใจ การที่เราเกิดมาเค้าให้ สติปัญญา ให้วิญญาณทั้งหกมา ก็เพื่อใช้ในการเรียนรู้ เสาะแสวงหากนิหล่อเลี้ยงชีวิต
แล้วที่วิญญาณทั้งหก มันก็มีเรื่องราวความโลภโกรธหลงอยู่ .ที่เป็นมายา ห้อมล้อมจิตที่อาศัยภายในกาย จะสื่อสารอะไร รู้จักอะไร จดจำอะไ ก็ต้องอาศัยวิญญาณทั้งหก..หากวิญญาณทั้งหก มันผิดปกติ การรับรู้ของจิตภายในกาย จะเป็นปกติมั่ย
เช่น คนกินเหล้า เมามาย .ก็เหมือนเราไปทำให้วิญญาณทั้งหกเค้าผิดปกติ .เมื่อผิดปกติ ..อารมณ์ที่สะสมมาในกาย มันก็กระพือออก ระบายออกมา ..จิตมันก็ควบคุมอารมณ์ ควบคุมกายไม่ได้ ..กรรมก็ออกมาแผลงอิทธิฤทธิ์ ..บ้างหมาเห่า ก็เห่ากับหมาได้ ..สิ่งที่แสดงออกจากกาย มันมาจากไหนล่ะ ใครทำให้ ..เค้าว่านั้นแหละ นิสัยสันดานที่ติดมากับจิต ที่มาอาศัยกาย ..สะสมอะไรมา ..มันก็สำแดงออกมา ..เรารู้ตัวมั้ย ในยามที่เป็นแบบนั้น (นี่ก็..เคยเมามา แต่ไม่เคยขนาดเห่ากับหมามัน
(ไม่อยากเขียนเยอะ มันละอายใจ ก็ทำยังไงได้ล่ะ นิสัยสัดานคนดีคนชั่วมันติดตามอยู่ในตัวเราแท้ๆ แล้วเราจะเอาคนไหนออกมาใช้ดี)
..คราวนี้ในโลกนี้ มันก็มีเรื่องราวที่เป็นอุปสรรค ..นั้นก็คือ อารมณ์พอใจไม่ พอใจ ความขี้เกียจขี้คร้าน อะไรต่างที่มันจะเกิดขึ้นภายในกาย อารมณ์ที่ไม่ดี คิดไม่ดี อะไรต่างๆ คิดทำลาย คิดทำร้าย รังแก กลั่นแกล้งกัน ..มันเกิดขึ้นภายในกาย ..ทำแล้วมันเกิดเป็นกรรม .เกิดขึ้น ..ที่ตรงนี้เรื่ิงตรงนี้ ..เราก็ต้องใช้สติปัญญาของเรา หมั่นทบทวน แก้ไข .ตรวจสอบตัวเอง ว่าคิดดี ทำดี ..
..ไอ้ว่าดีของแต่ละคนมันก็ไม่เหมือนกัน ในคำว่าดี ..ฉะนั้นเราก็ต้องเรียบเรียนเหตุผล ให้แก่จิต เรื่องการฝึกหัดเรียนรู้ในสิ่งที่เราอยากเป็นอยากทำ เพื่อหล่อเลี้ยงชีวิต ..เราก็เรียนรู้ ..พึ่งตัวเองเอากายไปเรียนรู้ มันทำอะไรทั้งหลายก็ต้องพึ่งกานที่มีพระคุณ ..จะเดินจะยืนจะนอน สบายไม่สบาย ก็เพราะกาย
กายนี้มีพระคุณ เป็นที่พึงของจิต ที่อาศัย แล้วจิตที่อาศัยภายในกายนั้นพึ่งใคร พึ่งอารมณ์ไม่เที่ยงหรือ หรือว่าให้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งจองจิตที่อาศัยภายในกาย .จะเอาอะไรเป็นที่พึ่งจองจิตถึงจะดี ..เอาอารมณ์ เป็นที่พึ่ง ก็ทำไป ..ด้วยความโลภโกรธหลงทะเยอทะยาน
แล้วจิตนั้นก็ต้องตกเป็นทาสอารมณ์ไปตลอดชีวิต .สิ่งที่ยินดีเอากายใช้ไปตามอารมณ์ พอใจ ไม่พอใจ .ชอบไม่ชอบ หงุดหงิด โมโห..ที่เกิดขึ้นแต่ละครั้ง มันก็สะสมอารมณ์นั้นเรื่อย หยอดลงกระปุกออมสิน ภายในกายไม่ได้ไปไหน กายมันก็หนัก พอแก่เฒ่า การมันหนัก ก็เดินปวดเมื่อย ขาคดขาโก่ง แบกสิ่งที่สะสมมาในกาย นั้นก็พึ่งตัวเองมาทั้งชีวิต ..พึ่งอารมณ์..มาทั้งชีวิต ปลดเปลื้องอารมณ์ไม่ได้เลย ..
ทำดีทำชั่ว ก็พึ่งตัวเอง เอากายมาทำเหมือนกัน..อยู่ที่ว่า เราจะมีสติปัญญา คัดกรอง พึ่งกายมาทำเรื่องราวดีๆ ทำมาหากิน ก็ต้องพึ่งกาย เหมือนเด็กทารก เค้าป้อนน้ำให้ดูด..ไม่ดูดกลืนลงไป เอง .ไม่ช่วยดูดเข้าไปในกาย เพราะเราหิวกระหาย เราต้องพึง่ตัวเองดูดน้ำเข้าไป พึ่งตัวเองมาตั้งแต่เกิด..
แล้วเราก็ดูสภาพที่พึ่งตัวเองไม่ได้ คนป่วยติดเตียง เค้าเจาะคอให้อาหาร ปั้มลมเค้าออก ..กายแบบไหนสภาพแบบไหน ที่พึ่งตนเองเองได้
..ชาตินี้..กายบิดามารดานี้มีพระคุณ .ให่กายเรามา ให้เราได้สติปัญญา เรียนรู้จักเรื่องราวทั้งดีและไม่ดี ..ก็ต้องอาศัยกายนี้เป็นที่พึ่ง ธาตุนะโม นี้มีคุณ..เราจะทำให้นี้เป็นธาตุของกรรม กรือ ของธรรม เราก็ต้องพึ่งกายนี้มากระทำ ให้ธาตุนี้มีธรรม ส่งคืนให้ธาตุพ่อแม่ ต้นสังกัด เกิดเป็นความกตัญญูรู้คุณของจิตผู้นั้น ธาตุดินธาตุน้ำธาตุไฟธาตุลมในเรือนกาย ก็จะเป็นสักขีพยาน ..จิตที่รู้จักกตัญญูรู้คุณบิดามารดา....ตอบแทนพระคุณพ่อแม่ เอากายนี้มาสร้างบุญกุศลบารมี .
เราก็ลองมาทบทวน ค่อยทบทวนตัวเองว่า กว่าที่เรา จะโต มีกายโตขึ้น ..ต้องเจอะอะไรบ้าง มันทุกข์ยากลำบามั่ย ในการมาอาศัยกาย ..เรายินดีในกายเกิดอีกมั้ย ..มันต้องถามเข้าไปให้ถึงจิตขิงตัวเอง ทบทวนให้ดี ทบทวนให้จิตกลั่นกรอง ตอนที่กายนิ่งๆ จิตนิ่งๆ ..ค่อยหยิบมาทบทวน .อย่าให้มีอารมณ์สอดแทรก..เดี๋ยวจ้ตเราพึ่งตัวเองไม่ได้ ..จะไปเชื่ออารมณ์ที่เค้าปรุงแต่งให้ ..ทำจิตให้เป็นจิตดวงเดียว ค่อยพิจารณา..จิตจะเป็นจิตที่พึ่งตัวเอง
1
โฆษณา