4 ก.พ. เวลา 06:11 • ท่องเที่ยว
เมลเบิร์น

คริสต์มาสหน้าร้อนที่เมลเบิร์น ไปเดินเล่นย่านเก๋ๆ ในเมืองกัน

Chapter 69/1: Summer Christmas In Melbourne
กลับมากับทริปเมลเบิร์นกันอีกครั้งค่ะ ย้อนไปเมื่อเดือน ธ.ค. 2019 นั่นเป็นครั้งแรกที่เราได้มาเที่ยวเมลเบิร์น แต่เป็นการเที่ยวแบบไม่ได้วางแผนใดๆ ครั้งนี้แก้ตัวมาอย่างดี มาดูกันว่าคริสต์มาสหน้าร้อนที่เมลเบิร์นของเราครั้งนี้จะมีอะไรให้ทำมั่ง
ป.ล. อ่านทริปเมลเบิร์นตอนปี 2019 ได้ที่ลิงค์ข้างใต้นี้ค่ะ 😄
โดย Highlight ของทริปนี้คือ Great Ocean Road (ขอเรียกสั้นๆ ว่า GOR นะคะ) ซึ่งพอมาดูจริงๆ โห GOR นี่มันมีจุดให้แวะเที่ยวเยอะมากเป็นสิบๆ ที่เลย จะวางแผนไงดี
เราก็เลยเลือกจากจุดที่เราอยากไปเป็นหลักก่อน จากนั้นก็ลองดูว่าใช้เวลาเดินทางทั้งหมดกี่วันถึงจะเก็บได้ทุกที่ที่ปักหมุดไว้โดยที่ไม่เหนื่อยเกินไป
โดยทริปนี้มีแต้มบุญที่สะสมมาดี คุณเพื่อนที่อยู่เมลเบิร์นอาสาจะเป็นผู้ขับรถพาไปเที่ยวให้เพราะช่วงที่เราไปเค้าหยุดพอดี แถมให้เรามาอาศัยบ้านได้ฟรีตลอดทริปอีกด้วย สุดยอด !!!
ส่วนการขอวีซ่าก็ไม่ยากค่ะ เตรียมเอกสารตามที่ระบุใน website ให้ครบ กรอกข้อมูลและยื่นเอกสารออนไลน์ จ่ายเงิน ไปทำ Biometrics (ถ่ายรูปและเก็บลายนิ้วมือ) ที่ VFS เท่านี้เป็นอันเสร็จ ของเรายื่นช่วงบ่าย กลับมานั่งกินข้าวเย็นที่บ้าน มีเมล์มาแล้วว่าอนุมัติวีซ่าแล้ว ไวโฮกวันเดียวได้เลย เสียอย่างเดียว เค้าให้มาแค่ปีเดียวเอง (ก่อนหน้าโควิท เค้าให้ตั้ง 3 ปีแน่ะ)
เอาล่ะ เมื่อทุกอย่างพร้อมก็ได้เวลาออกเดินทางกันละค่ะ
บินกับการบินไทยเช่นเคย
เราเลือกบินกับการบินไทยเพราะบินตรงไม่ต้องเปลี่ยนเครื่อง สะดวกและเวลาก็โอเค เครื่องออกประมาณ 6 โมงเย็นและถึงที่เมลเบิร์นประมาณ 7 โมงเช้า ใช้เวลาเดินทางประมาณ 9 ชั่วโมง (เวลาที่เมลเบิร์นจะเร็วกว่าไทย 4 ชั่วโมง)
ถึงออสเตรเลียแล้ว
ตื่นเต้นเพราะจะได้ไปใช้ SmartGate กะเค้าซะที สำหรับคนไทยที่ถือพาสปอร์ตรุ่นใหม่ที่เป็น e-Passport ตอนนี้ไม่ต้องไปต่อแถวที่ ต.ม. แล้วนะคะ พอลงจากเครื่องก่อนเข้า ต.ม. เราจะเจอกับป้าย SmartGate และเครื่องสแกนที่ตั้งเรียงรายอยู่ ให้เราเอาพาสปอร์ตไปสแกนที่เครื่อง (เค้ามีภาษาไทยให้ด้วยไม่ต้องกลัว) ตอบคำถามบนหน้าจอจนครบ จากนั้นก็จะได้ตั๋วมา 1 ใบ
จากนั้นเดินไปที่ช่อง SmartGate เอาตั๋วที่ได้มาใส่เข้าไปในเครื่อง แล้วก็ถ่ายรูป เท่านี้เองเป็นอันเสร็จ สุดท้ายเครื่องจะคืนตั๋วให้เราอีกครั้ง (เก็บไว้ให้ดีเพราะเดี๋ยวต้องคืนให้ จนท.) แล้วก็ออกไปรอรับกระเป๋าได้เลย
วิธีการนี้ถือว่าสะดวกสุดๆ และเร็วมากๆ เพราะไม่ต้องเสียเวลาไปเข้าคิว ต.ม. ที่อาจจะใช้เวลานานแสนนาน และก็ไม่ต้องตอบคำถาม ต.ม. ด้วย
และก็มาถึงอีกขั้นตอนที่หนุกหนาน เพราะพอรับกระเป๋าเสร็จเราต้องไปผ่านศุลกากรอีกด่าน (เราต้องคืนตั๋วที่ได้จาก SmartGate ให้ จนท. ตรงนี้) ซึ่งปกติเราก็แค่เดินไปช่อง Nothing to Declare ในกรณีที่ไม่ได้นำอะไรแปลกปลอมหรือต้องเสียภาษีเข้ามา แต่ของที่เมลเบิร์นนี่ไม่ใช่จ้า
ป.ล. ออสเตรเลียเข้มงวดกับของที่นักท่องเที่ยวนำเข้ามามากๆ โดยเฉพาะอาหาร เพราะเค้ากลัวเรื่องเชื้อโรคต่างๆ ที่อาจจะปนเปื้อนเข้ามา เพราะฉะนั้น แนะนำว่าอย่านำอาหารเข้าประเทศเค้าจะดีที่สุด
เราจะเจอด่านสุนัขดมกลิ่นซึ่งเก่งมากๆ จนท. จะให้เราไปยืนเข้าแถวเรียง 1 วางกระเป๋าและสัมภาระทุกอย่างไว้ข้างตัว จากนั้นก็จะเอาสุนัขดมกลิ่นมาเดินดมกระเป๋าทุกใบด้วยความรวดเร็ว รวดเร็วจริงๆ นะ แค่เดินผ่าน มันบอกได้เลยว่ากระเป๋าใบไหนมีอาหาร แค่ดูน้องหมาทำงานก็เพลินละ ขนาดเราไม่ได้เอาอาหารมาเลย เรายังลุ้นแทบตาย 🤣
ผ่านศุลกากรออกมาก็จะเจอกับป้ายต้อนรับอันนี้
จุด check in ที่คุ้นตา
และนี่เป็นครั้งแรกที่มีเพื่อนมารับที่สนามบิน 😁 (ทุกทีมีแต่ลากกระเป๋าไปขึ้นรถสาธารณะเอง) จุดหมายแรกไปเก็บของที่บ้านก่อน บ้านเพื่อนจะอยู่ที่ Carnegie ซึ่งอยู่นอกเมืองออกไปประมาณครึ่งชั่วโมง
พักผ่อนให้หายเหนื่อยปุ๊บก็ออกไปที่แรกเลย Brighton Bathing Boxes ขับรถออกจากบ้านประมาณ 20 นาทีเอง (ถ้าจากตัวเมืองก็ประมาณ 40 นาทีค่ะ)
Brighton Bathing Boxes (ไบรท์ตัน บาธติ้ง บ็อกซ์) เป็นกระท่อมหลังน้อยๆ จำนวน 93 หลังที่ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ช่วงปี 1860 ในสมัยวิคตอเรียน สำหรับใช้เป็นที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าของคนที่มาเล่นน้ำเพื่อไม่ให้ดูประเจิดประเจ้อ
Brighton Bathing Boxes
Bathing Boxes เหล่านี้มีความโดดเด่นตรงที่ทุกหลังจะมีลักษณะเหมือนกันหมด คือ ทำจากไม้ มีกันสาดด้านข้าง มีหลังคาเหล็กเป็นลอน และตกแต่งด้วยลวดลายและสีสันที่สดใส
Brighton Bathing Boxes
ส่วน Brighton Beach (คนละ Brighton Beach กับที่อังกฤษเด้อ 😁) เป็นชายหาดที่มีชื่อเสียงของเมลเบิร์นประกอบไปด้วยหาดอัปเปอร์ไบรท์ตัน (Upper Brighton Beah) หาดมิดเดิลไบรท์ตัน (Middle Brighton Beach) และหาดเดนดีสตรีท (Dendy Street Beach)
ซึ่งชายหาดที่ได้รับความนิยมที่สุดก็คือหาด Dendy เพราะเป็นที่ตั้งของเจ้า Bathing Boxes สีสันสดใสเหล่านี้นี่เอง
 
บ่ายวันนี้มีคนมาทำกิจกรรมกันเพียบไม่ว่าจะนอนอาบแดด เล่นน้ำทะเล Surfboard Kitesurf ดูครึกครื้นเชียว และถึงแดดจะแรงแต่ลมที่พัดมาก็เย็นสบายมากทำให้เดินเพลินเลย
Brighton Bathing Boxes
จาก Brighton Beach เราขับรถต่อไปที่ St.Kilda Beach ชายหาดยอดนิยมอีกที่ของเมลเบิร์นที่อยู่ไม่ไกลค่ะ
จอดรถเสร็จเราก็สะดุดตาเข้ากับสวนนี้ Vegout Community Garden
Vegout Community Garden
Vegout Community Garden เป็นสวนของคนในชุมชนที่อยู่บริเวณนี้ที่ร่วมกันสร้างขึ้นมาเพื่อใช้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ และปลูกผักปลูกดอกไม้แบบออร์แกนนิคไว้ขาย เค้าอนุญาติให้คนภายนอกเข้าไปเดินดูได้ด้วยค่ะ
Vegout Community Garden
เราเดินต่อไปที่ Acland Street Plaza ซึ่งเป็นถนนเส้นที่มีร้านอาหาร ร้านขายของ บาร์เก๋ๆ เต็มเลย
ต้นคริสต์มาสกลางแดดเปรี้ยงๆ
มาเดินที่นี่ให้ความรู้สึกเหมือนเดินอยู่ที่ Miami Beach เลย แต่ละร้านตกแต่งกันสีสันสดใสมากๆ เดินถ่ายรูปไปเรื่อยจนมาเจอร้านนี้
เป็นร้านที่ขายเสื้อผ้า เครื่องประดับ ของแต่งบ้าน และแผ่นเสียงมือสอง เราเดินออกมาที่ระเบียงที่เค้าทำไว้ให้นั่งเล่น น่ารักมากๆ เลย
เป็นร้านที่ดูฮิปสเตอร์มากๆ
ร้านแถว Acland แต่ละร้านนี่บรรยากาศน่านั่งชิลมากๆ
 
เพื่อนบอกว่าที่ถนนเส้นนี้จะมีร้านขายขนมเค้กเก่าแก่ที่เปิดมานานแล้วอยู่ 3 ร้าน เค้าเปิดติดๆ กันแบบจงใจแข่งกันเลยแหละ ได้แก่ร้าน Monarch Cakes , Le Bon Cake Shop แล้วก็ The Acland Cake Shop แถมทุกร้านนี่ดูสไตล์ดั้งเดิมเหมือนกันเลย
Monarch Cakes
Le Bon Cake Shop
The Acland Cake Shop
เค้กก็หน้าตาคล้ายๆ กัน และหลังจากเลือกไปเลือกมา สุดท้ายเราก็ได้ชิมเค้ก Lemon Cream Slice ของร้าน Le Bon ชอบเลยเพราะเค้กอร่อย มีรสชาติเปรี้ยวหวานกำลังดี ทำให้ไม่เลี่ยนมาก (ไม่มีรูปประกอบเพราะถูกเจ้าเพื่อนเขมือบจนหมด) กินกับกาแฟอร่อยสุดๆ
เราเดินไปที่ St.Kilda Beach ซึ่งถ้าดูจากแผนที่แล้วก็เป็นหาดที่ทอดยาวต่อจาก Brighton Beach มานั่นเอง
ผ่าน Luna Park สวนสนุกที่เก่าแก่ที่สุดในออสเตรเลีย เปิดมาตั้งแต่ปี 1912 ตอนนี้มีอายุเกือบ 112 ปีแล้ว ซึ่งตรงทางเข้าเราจะเจอกับ Mr. Moon อ้าปากรอต้อนรับเราอยู่
Mr. Moon สัญลักษณ์ของ Luna Park
ใกล้ๆ กับ Luna Park จะเป็น Palais Theatre โรงหนังเก่าแก่ที่เปิดมาตั้งแต่ปี 1927 ถูกบูรณะมาหลายครั้งโดยที่ยังคงเก็บความเป็น Iconic ของตัวอาคารไว้เหมือนเดิม ปัจจุบัน Palais Theatre ยังคงถูกใช้งานอยู่ แต่ได้กลายมาเป็นสถานที่จัดงาน Concert , Ballet , Opera และ Stand-Up Comedy ที่สำคัญๆ มากมาย
Palais Theatre คลาสสิกมากๆ
เดินลงไปที่ชายหาดกันต่อ
St. Kilda Beach
ที่นี่ก็มีคนมาทำกิจกรรมกันเยอะไม่แพ้ที่ Brighton Beach เลย แต่ที่ St.Kilda ดูจะคึกคักกว่าเพราะมีร้านอาหารแถวชายหาดเยอะ
ตั้งใจจะเดินไปที่ St Kilda Pier เพราะเผื่อฟลุ๊คเจอเพนกวินเหมือนคราวที่แล้ว จำได้ว่าสองข้างทางเดินจะเป็นแนวโขดหินที่น้องๆ เค้าจะขึ้นมาพักผ่อนกัน แต่ตอนนี้เค้าปิดปรับปรุงอยู่ อดส่องน้องๆ เลย
St. Kilda Pier
จากชายหาด เราเดินต่อมาที่ Fitzroy Street (อันนี้ไม่ใช่ย่าน Fitzroy ที่อยู่ในเมืองนะจ๊ะ) เราไม่เคยมาเดินถนนเส้นนี้มาก่อน เป็นย่านที่เก๋มากๆ
Fitzroy Street
ร้านอาหาร บาร์เพียบ กลางคืนไม่ต้องบอกเลย คงคึกคักสุดๆ
 
เดินมาเจอโรงแรมนี้ The Gatwick Hotel
The Gatwick Hotel
เพื่อนเล่าให้ฟังว่าในสมัยก่อนย่าน Fitzroy Street เป็นย่านที่มีชื่อเสียงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ รวมไปถึงโรงแรม The Gatwick Hotel ด้วย เพราะในอดีตโรงแรมแห่งนี้เป็นแหล่งพักพิงของคนทั้งติดยา คนขายบริการ รวมไปถึงอาชญากร
 
แต่ต่อมาในปี 2018 The Gatwick ได้ถูกสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งซื้อไปเพื่อไปเป็นส่วนหนึ่งของรายการ The Block ที่ให้ผู้เข้าแข่งขันมาแข่งกันปรับปรุงอาคารเก่าแห่งนี้จนสวยงามและถูกขายไปในราคาแสนแพงเลยทีเดียว
Fitzroy Street
หลังจากเดินเล่นที่ Fitzroy Street กันจนเย็น เริ่มหิวแล้วก็เลยกลับไปหาอะไรกินที่ Acland Street เพราะแถวนั้นร้านอาหารเยอะมากๆ ได้มาเป็นร้าน Vegan ร้านนี้ เพราะดูน่าอร่อยดี
Sister of Soul
เท่าที่สังเกตุดูที่เมลเบิร์นจะมีร้านอาหาร Vegan เยอะมากๆ นั่นแสดงว่ามันจะต้องอร่อยสิ
ป.ล. อาหาร Vegan คืออาหารแบบมังสวิรัติที่เคร่งในเรื่องของการงดใช้เครื่องอุปโภคและบริโภคอาหารที่ทำมาจากสัตว์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นนม เนย ชีส ไข่ น้ำผึ้ง หรือแม้แต่อาหารในกลุ่มเจลาติน เพราะทำมาจากไขของกระดูกสัตว์
อาหารเค้าอร่อยจริงๆ ค่ะ รสชาติดี กินแล้วไม่ได้รู้สึกว่าหนักแป้ง เลี่ยนๆ เหมือนเวลากินอาหารเจด้วย
วิธีสั่งอาหารที่เมลเบิร์น
ลืมเล่าวิธีการสั่งอาหารของที่เมลเบิร์น โดยปกติเวลาเราเข้าร้านอาหารจะมี พนง. มารับออเดอร์ที่โต๊ะใช่มะ แต่ที่นี่เราจะต้องเดินไปสั่งอาหารที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์เอง โดยบอกเบอร์โต๊ะที่เรานั่ง สั่งอาหาร จากนั้นก็จ่ายเงิน เมื่ออาหารเสร็จ พนง. ก็จะเอามาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะ
 
ซึ่งเราว่าวิธีนี้มันก็ดีนะเพราะเราไม่ต้องให้ทิป พนง. ด้วย (ไม่เหมือนที่อเมริกาต้องให้ทิป 10-15% แน่ะ) อันนี้คือลักษณะของร้านอาหารโดยทั่วไปนะ ถ้าเป็นร้านแบบ fine dinning คงมี พนง. มาดูแลตามปกติ
หลังจากอิ่มอร่อยและเดินจนตัวจะดำอยู่แล้วแต่ฟ้ายังสว่างอยู่เลย เราก็เลยกลับเข้าไปในเมืองเพื่อไปเดินเล่นย่าน Central Business District หรือเรียกย่อๆ ว่า CBD
Shrine of Remembrance
เอารถมาจอดแถวๆ Shrine of Remembrance เลยแวะเข้ามาดูซักหน่อย ตรงสวนด้านล่างมองมาเห็นวิวเมืองสวยมากๆ
Shrine of Remembrance
แต่วันนี้แค่โฉบๆ มา เดี๋ยวมารีวิวให้ดูอีกทีวันหลังค่ะ วันนี้ขอไปดูบรรยากาศคริสต์มาสกันก่อน
ไฟที่นี่ยังไม่อลังการเท่าของที่ลอนดอน แต่นักท่องเที่ยวล้นหลามไม่แพ้กันเลย แต่จะเป็นคนจีนและคนอินเดียซะเป็นส่วนใหญ่
เดินกลับมาที่รถเจอตู้ไปรษณีย์สวยๆ เข้าให้
นี่ก็เป็นการเดินเที่ยวในเมลเบิร์นวันแรกของเราที่โหดเหมือนกันนะ เดินกันขาลากไม่แพ้ตอนไปลอนดอนเลย แล้วมาดูกันใน Blog ต่อไปนะว่าจะพาไปเที่ยวที่ไหนในเมลเบิร์นกันอีกค่ะ
 
สำหรับ Blog นี้ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ 😊

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา