7 ก.พ. เวลา 10:35 • ประวัติศาสตร์

ภายในหลุมฝังพระศพ “พระเยซู (Jesus)”

จากบันทึกในคัมภีร์ไบเบิ้ล “พระเยซู (Jesus)” นั้นถูกฝังอยู่ใน “สุสานที่ทำมาจากหิน” ภายหลังจากที่พระองค์ถูกตรึงกางเขน ก่อนที่อีกสามวันต่อมา พระองค์จะสร้างความตื่นตะลึงแก่เหล่าสาวกด้วยการฟื้นคืนพระชนม์ และเดินออกมาจากสุสาน
ดังนั้นคำถามสำคัญก็คือ “หากสุสานหรือหลุมฝังพระศพของพระเยซูมีอยู่จริง สถานที่นั้นอยู่ที่ใด?”
1
คำถามนี้เป็นคำถามที่นักประวัติศาสตร์ให้ความสนใจมาเป็นเวลาหลายปี มีการคาดเดาไปยังสถานที่ต่างๆ นาๆ ซึ่งสถานที่ที่คนส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นสุสานหรือหลุมฝังพระศพของพระเยซูที่แท้จริง ก็คือ “โบสถ์พระคูหาศักดิ์สิทธิ์ (Church of the Holy Sepulchre)” ในเยรูซาเลม
โบสถ์พระคูหาศักดิ์สิทธิ์ (Church of the Holy Sepulchre)
และในที่สุด ในปีค.ศ.2016 (พ.ศ.2559) ก็มีการเปิดสุสานนี้เป็นครั้งแรกในรอบหลายร้อยปี
เรื่องราวเป็นอย่างไร ลองมาดูกันครับ
ความเชื่อทึ่ว่าสุสานหรือหลุมฝังพระศพของพระเยซูตั้งอยู่ในโบสถ์พระคูหาศักดิ์สิทธิ์นั้น สามารถย้อนกลับไปได้ถึงสมัยศตวรรษที่ 4 โดยในเวลานั้น “จักรพรรดิคอนสแตนตินมหาราช (Constantine the Great)” จักรพรรดิแห่งโรมัน ได้มีรับสั่งให้มีการสำรวจ ออกตามหาสุสานพระเยซู
เมื่อมาถึงเยรูซาเลมในปีค.ศ.325 (พ.ศ.868) คนของจักรพรรดิคอนสแตนตินก็ได้มุ่งไปยังวิหารโรมันแห่งหนึ่ง ซึ่งข้างใต้วิหารนั้น พวกเขาได้พบกับสุสานที่ทำจากหินปูน รวมทั้งเตียงสำหรับศพ ซึ่งสภาพการณ์ตรงกับบันทึกในพระคัมภีร์ ทำให้คนขององค์จักรพรรดิเชื่อมั่นว่าพวกตนได้พบสุสานพระเยซูแล้ว
1
จักรพรรดิคอนสแตนตินมหาราช (Constantine the Great)
แต่ถึงแม้ว่าสถานที่นี้จะได้รับการยอมรับว่าคือสุสานหรือหลุมฝังพระศพของพระเยซู แต่ก็ไม่สามารถยืนยันได้แน่ชัดว่าสถานที่นี้คือสุสานพระเยซูจริงๆ
หลายคนยังสงสัยว่าสุสานจริงนั้นอาจจะเป็นสถานที่อื่น หากแต่โบสถ์พระคูหาศักดิ์สิทธิ์ก็ยังเป็นสถานที่ที่คนส่วนใหญ่เชื่อว่าคือสถานที่จริง
โบสถ์พระคูหาศักดิ์สิทธิ์นั้นก็ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก และเคยถูกปล้นโดยพวกเปอร์เซียในสมัยศตวรรษที่ 7 ถูกมุสลิมทำลายในสมัยศตวรรษที่ 11 และถูกเผาจนราบในสมัยศตวรรษที่ 19
แต่ทุกครั้งที่โบสถ์พระคูหาศักดิ์สิทธิ์ถูกทำลาย ชาวคริสต์ก็จะร่วมกันบูรณะกลับมา และจนถึงทุกวันนี้ หลายคนก็ยังคงเชื่อว่าสถานที่นี้คือหลุมฝังพระศพพระเยซู
พระเยซู (Jesus)
ตัวสุสานนั้นถูกปิดด้วยหินอ่อนตั้งแต่ราวปีค.ศ.1555 (พ.ศ.2098) เพื่อไม่ให้ใครเข้ามารุกรานบุกรุก แต่แล้วในปีค.ศ.2016 (พ.ศ.2559) กลุ่มผู้เชี่ยวชาญกลุ่มหนึ่งได้ทำการเปิดสุสานนี้ในรอบศตวรรษ
1
ในปีค.ศ.2016 (พ.ศ.2559) กลุ่มสามกลุ่มซึ่งได้แก่ “กรีกออร์ทอดอกซ์ (Greek Orthodox)” “อาร์เมเนียออร์ทอดอกซ์ (Armenian Orthodox)” และ “โรมันคาทอลิก (Roman Catholic)” ได้มาร่วมกันทำข้อตกลง และทางการอิสราเอลก็ได้ประกาศว่าโบสถ์นี้ไม่ปลอดภัย จำเป็นต้องปรับปรุงเพื่อให้อยู่ต่อไปได้
ด้วยเหตุนี้ ทีมงานจากมหาวิทยาลัย “National Technical University of Athens” จึงเริ่มงานในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.2016 (พ.ศ.2559)
ทีมงานได้ทำการเคลื่อนย้ายส่วนต่างๆ ที่เสียหายและซ่อมแซมหลายส่วน และในเดือนตุลาคม ทีมงานก็ตระหนักว่าคงจำเป็นต้องเปิดประตูสุสาน และเหล่าคนงานก็เห็นตรงกันว่าจำเป็นต้องเปิดสุสานพระเยซูเพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างไม่เสียหาย
ศาสตราจารย์ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมงานได้กล่าวว่า
“เราต้องระมัดระวังมาก นี่ไม่ใช่แค่สุสาน แต่คือสุสานพระเยซูซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาคริสต์ และไม่ใช่แค่เพื่อชาวคริสต์ แต่นี่ยังเป็นการทำเพื่อศาสนาอื่นอีกด้วย”
1
ทีมงานค่อยๆ เอาหินปูนออก และเข้าไปในถ้ำข้างใต้ และทุกคนก็อยู่ในสุสานพระเยซู
ทีมงานได้เก็บรวบรวมตัวอย่างต่างๆ ภายในเป็นเวลา 60 ชั่วโมง และทำการถ่ายภาพและปรับปรุงผนัง
1
“ปีเตอร์ เบเกอร์ (Peter Baker)” นักข่าวจาก “New York Times)” ซึ่งได้มีโอกาสเข้าไปในสุสานพระเยซู ก็ได้เขียนข่าวว่า
“ตัวสุสานนั้นดูเรียบง่าย ปราศจากการตกแต่ง ด้านบนนั้นแยกออกจากตรงกลาง แสงเทียนวูบไหว ส่องให้เห็นทางออกเล็กๆ”
หลังจากทำการบูรณะกว่าเก้าเดือนและใช้เงินไปถึงสามล้านดอลลาร์ (ประมาณ 107 ล้านบาท) สุสานนี้ก็ถูกเปิดเผยต่อสาธารณชน โดยครั้งนี้ คนงานได้ทำช่องหน้าต่างเล็กๆ ไว้เพื่อให้คนส่องเข้าไปเห็นชั้นหินด้านใน
แต่สุดท้ายแล้ว สถานที่นี้คือสุสานพระเยซูจริงๆ หรือไม่ คงมีเพียงแค่กาลเวลาเท่านั้นที่ตอบได้
1
โฆษณา