ด้านนักวิเคราะห์กลับมามีมุมมองเชิงบวกต่อ Health Care โดยเจ้าใหญ่อย่าง JPMorgan ให้มุมมอง Overweight ต่อหุ้นในกลุ่มแบบ selective ส่วน Morgan Stanley ให้ Long-term buy สำหรับการลงทุนใน Global Health Care โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มยาและ Biotech
ด้าน Citi ให้มุมมอง Overweight และคาดว่ากลุ่มนี้จะมีการปรับตัวขึ้นได้ดีทั้งกลุ่ม จากนวัตกรรมและความต้องการด้านเทคโนโลยีสุขภาพที่มีอยู่ในระดับสูง ส่วน Wells Fargo ให้ Long-term buy สำหรับการลงทุนใน Global Healthcare
ผลตอบแทนเชิงเปรียบเทียบระหว่างกลุ่ม Health Care และดัชนี S&P 500 Source: FINNOMENA FUNDS, Tradingview as of 06/02/2024
กลุ่ม Managed Healthcare & Service คือระบบการเบิกจ่ายยา หาหมอทำประกันในสหรัฐฯ เป็นต้น
จากที่วิเคราะห์อุตสาหกรรมและความน่าสนใจของแนวโน้มการเติบโตของกลุ่ม Health Care หลังจากนี้มาเจาะลึกในการเลือกกองทุนลงทุนจะได้ KT-HEALTHCARE-A (กองทุนหลัก: Janus Global Life Sciences Fund) เด่นเรื่องผลตอบแทน เน้นหนักในกลุ่ม Biotech ขณะที่ K-GHEALTH(UH) กับ KFHEALTH-A (กองทุนหลัก: JPMorgan Global Healthcare) เด่นเรื่องคุมความเสี่ยง เวลาราคาลง กองลงน้อยกว่าคู่แข่ง
สัดส่วนการลงทุนของ JPMorgan Funds – Global Healthcare Fund ซึ่งเป็นกองทุนหลักของ K-GHEALTH(UH) และ KFHEALTH-A Source: The Financial Times, J.P. Morgan Asset Management as of 05/02/2024
K-GHEALTH(UH) และ KFHEALTH-A ทั้งคู่เป็นกองทุนความเสี่ยงระดับสูง (ระดับ 7) ที่ลงทุนในหมวดอุตสาหกรรม Health Care ผ่านกองทุนหลัก JPMorgan Funds – Global Healthcare Fund, Class A (acc) – USD โดยมีสไตล์การบริหารแบบ Active ผสมผสานระหว่างหุ้น Defensive อย่าง Pharmaceutical และ Healthcare Services ในสัดส่วนที่เกินกว่า 50% และหุ้น Growth ในกลุ่ม Medtech กับ Biotechnology เพื่อช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนในระยะสั้น และเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นในระยะยาว
จุดเด่นของ JPMorgan Funds – Global Healthcare เมื่อเทียบกับกองทุน Global Health Care รายอื่นในตลาด คือชนะในเรื่องการควบคุมความเสี่ยง เวลาที่ตลาดปรับตัวลดลง กองทุนนี้ลงน้อยกว่าคู่แข่ง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้มีผลตอบแทนย้อนหลังโดดเด่นในช่วงที่ผ่านมา