16 ก.พ. เวลา 11:00 • ท่องเที่ยว
Hakuba

Hakuba เมืองเล็กๆ กับภูเขาหิมะใหญ่ๆ และฤดูใบไม้แดง

8 โมงครึ่งดูเหมือนจะเช้าเกินไปสำหรับผู้คนในเมืองนี้ ในวันที่ใบไม้เปลี่ยนสีและกำลังเปลี่ยนผ่านฤดู
Hakuba (ฮาคุบะ) เป็นเมืองเล็กๆ ที่ยอดฮิตสำหรับการมาเล่นสกีในฤดูหนาว อาจจะเพราะได้รับการการันตีความนุ่มฟูของหิมะจากการเคยเป็นที่จัดการแข่งขันโอลิมปิคฤดูหนาวมาแล้ว เลยทำให้ผู้คนหลั่งไหลมาที่เมืองเล็กๆ นี้ในยามที่หิมะตกแบบท่วมท้น
แต่วันนี้ของเมษ เป็นช่วงกลางถึงปลายฤดูใบไม้ร่วง ที่รอบๆ เมืองเต็มไปด้วยใบไม้สีเหลืองแดง หิมะยังไม่ตก เลยทำให้บรรยากาศอาจจะเหงาหงอยไปเล็กน้อย แต่นี่คือความตั้งใจของเมษในทริปนี้ เพราะ Hakuba ในฤดูร้อนก็สวยงามไม่แพ้ฤดูหนาวเหมือนกัน
ในฤดูร้อน Hakuba เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นจากธรรมชาติที่เบ่งบานบนเทือกเขาสูง ดอกไม้นานาพรรณ นก สัตว์พื้นถิ่นที่อาศัยอยู่บนภูเขาสูงเผยตัวออกมาให้ผู้คนได้เชยชม ทำให้การเดินป่าเดินเขาในฤดูร้อนที่นี่เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น
ใบไม้ที่กำลังเปลี่ยนสีดึงดูดให้เมษมาที่นี่ เพื่อหวังว่าจะได้ชมวิวภูเขาหิมะพร้อมใบไม้สีเหลืองแดงตลอดทาง เมษใช้เวลาที่นี่ 2 วัน 2 คืน สำหรับการค่อยๆ ชื่นชมธรรมชาติ
ด้านหน้า Bus Terminal ช่วงปลายฤดูร้อนที่เงียบเหงา เกือบร้างผู้คน
เช้านี้เมษเดินออกจากที่พักมาที่ Hakuba Happo Bus Terminal เพื่อรอรถบัสไปยัง Tsugaike Nature Park ตามตารางรอบรถของ Alpico ที่วันนี้ยังใช้ตารางของ green season (ฤดูร้อน) อยู่ รถบัสจะมาถึงที่นี่ตอน 9.35 เมษเดินเข้าไปซื้อตั๋วที่เครื่องอัตโนมัติภายในสถานี ค่ารถบัสคนละ 530 เยน และรถก็มาตรงเวลาเป๊ะ (ดูตารางรถบัสได้ที่นี่ https://www.alpico.co.jp/en/timetable/hakuba/r-nagano-hakuba/)
บนรถคนเบาบางตามากๆ เนื่องจากเป็นปลายฤดูร้อน นั่งรถไปประมาณ 30 นาทีก็ถึงป้าย Tsugaike Kogen เมษลงรถพร้อมคู่สามีภรรยาชาวเอเชียอีก 2 คนที่ป้ายนี้ และเดินไปในทิศทางเดียวกันไปยังสถานี gondola เพื่อขึ้นไปยัง Tsugaike Nature Park แต่แล้วพอเดินไปถึงก็เห็นว่าประตูสถานีปิด และมีป้ายแผ่นใหญ่แปะไว้ที่กระจกเป็นภาษาญี่ปุ่น กด google translate แล้วก็ได้รับความจริงที่ว่า ฤดูท่องเที่ยวที่นี่ปิดลงแล้วเมื่อ 2 วันก่อน (ปิดตั้งแต่วันที่ 22 October - 30 November และจะเปิดอีกทีวันที่ 1 December)
*ที่เมษสนใจที่นี่ เพราะ 2 รีวิวนี้ เผื่อใครอยากตามก็เลือกวันไปดีๆ นะคะ อย่าพลาดแบบเมษ
พอพลาดเป้าเส้นทางเดินป่าระยะ 5.5 กม. กับแพลนที่จะใช้เวลาที่นี่ค่อนวันก็เลยทำให้เมษต้องหาเป้าหมายใหม่ แล้วชื่อ Iwatake ก็โผล่เข้ามา อยู่ใกล้ๆ ที่นี่แค่นั่งรถบัสป้ายเดียว เมษรอรถรอบถัดไปตอน 10.41 เพื่อนั่งไป 1 ป้ายลงที่ป้าย Hakuba Iwatake Mountain Resort ค่าตั๋วคนละ 320 เยน
Gondola ที่จะพาข้ามเขา ชมใบไม้เปลี่ยนสีไปยังลานกิจกรรมบนยอดเขา
ที่นี่เป็นสกีรีสอร์ท ที่หันมาพัฒนาการท่องเที่ยวในฤดูร้อนด้วยเหมือนกัน มีกิจกรรมหลากหลายให้เลือกเล่น หลังจากลงจากรถบัสมา เราก็ยืนอยู่หน้าสถานี gondola ที่เป็นวิธีเดียวที่จะขึ้นไปเที่ยวด้านบน ค่าตั๋ว gondola อยู่ที่คนละ 2,400 เยนไปกลับ
วิวแรกที่รอต้อนรับที่ด้านบน สวยสุดลูกหูลูกตาเลย
Godola พาเรานั่งผ่านภูเขาแล้วภูเขาเล่าที่ตอนนี้ต้นไม้กำลังเปลี่ยนสีเป็นสีเหลือง สีส้ม สีแดง สลับกันทั่วทั้งเขา วิวระหว่างเลยเป็นอะไรที่ตระการตามาก พอขึ้นมาถึงด้านบน วิวแรกที่เห็นก็คือ วิวหุบเขาที่มองลงไปยังตัวเมือง Hakuba และมีฉากหลังเป็นภูเขาน้อยใหญ่สลับเรียงรายอยู่ เป็นวิวที่สร้างรอยยิ้มกว้างให้เมษได้เลย ถึงจะพลาดเส้นทางเดินป่าไป แต่วิวแบบนี้ก็เยียวยาจิตใจได้อย่างดี
เกือบเที่ยงแล้ว เมษเลยแวะร้านอาหารที่ตึกหลัก ที่จริงๆ แล้วในฤดูสกีจะเป็นที่เปลี่ยนเสื้อผ้า เช่าอุปกรณ์สกีต่างๆ แต่ในวันนี้ฤดูสกียังมาไม่ถึง ตึกนี้ก็ทำหน้าที่เป็นร้านอาหาร คาเฟ่ และลานที่นั่งชมวิวอลังการพร้อมมื้อเที่ยงอร่อยๆ ตรงหน้า
อาหารเที่ยง รับแสงแดดกลางอากาศเลขตัวเดียว พร้อมวิวชิวๆ
ทานมื้อเที่ยงพร้อมวิวชิวๆ จนอิ่มฟินแล้ว ก็ได้เวลาเดินย่อย ชมธรรมชาติ ชมใบไม้เปลี่ยนสีให้จุใจ กิจกรรมยอดฮิตสำหรับคนที่มาฤดูนี้ก็คือ การไปนั่งชิงช้าขนาดใหญ่สุดหวาดเสียวชมวิว และเข้าคาเฟ่สุดฮิต จิบกาแฟ ชิมขนมพร้อมวิวภูเขาหิมะอลังการตรงหน้า
คาเฟ่สุดฮิต ที่น้องเมฆบังยอดภูเขาหิมะไม่ยอมไปไหน
แต่โชคไม่เข้าข้างเมษเท่าไหร่ ฟ้าเปิดแดดจ้า แต่ยอดภูเขาหิมะดันมีเมฆมาบังพอดีเป๊ะ ทำให้วิวอลังการที่คาเฟ่ของเมษต้องพับไป เพราะน้องเมฆยังคงหยอกล้อคลอเคลียอยู่ที่ยอดพี่ภูเขาหิมะไม่ไปไหน ไม่เป็นไรแค่ชมธรรมชาติ ชมวิว ชมใบไม้เปลี่ยนสีรอบๆ บริเวณก็สุขใจสุดๆ แล้ว
แค่เดินชมใบไม้เปลี่ยนสีรอบๆ ประกอบกับฉากหลังที่เป็นแนวภูเขาหิมะทอดยาว ก็มีความสุขมากแล้ว
เมษใช้เวลาที่นี่อยู่ครึ่งค่อนวันเลยทีเดียว มีจุดชมวิว มีคาเฟ่ มีบรรยากาศให้เราได้ซึมซับฤดูใบไม้เปลี่ยนสีได้จนเต็มอิ่ม ก่อนจะลงมารอรถบัสรอบรองสุดท้ายตอน 15.35 กลับเข้าเมือง ค่าตั๋วคนละ 230 เยน
เมืองเล็กๆ เงียบๆ กับภูเขาหิมะใหญ่ๆ
กลับเข้าเมืองมาพร้อมกับแสงอาทิตย์ยามเย็นที่กำลังทอดลงหลังแนวภูเขาหิมะที่ประดับเป็นฉากหลังของเมือง เมษเลยใช้เวลานี้เดินเล่นเพลินๆ ในเมือง เสาะหาวิวภูเขาหิมะในมุมต่างๆ กันไป ชื่นชมบรรยากาศยามเย็นให้เต็มที่ ก่อนจะได้เวลาอาหารเย็น ที่เหมือนทุกคนในเมืองจะมารวมตัวกันที่ร้านอาหารเล็กๆ อบอุ่นกลางเมืองเพียงแห่งเดียว ที่ยังเปิดให้นักท่องเที่ยวปลายฤดูได้ฝากท้อง ก่อนแยกย้ายกลับไปหาที่นอนอุ่นๆ ของตัวเองเงียบๆ
ร้านอาหารเล็กๆ อบอุ่น และ อร่อย แห่งเดียวในเมืองคืนนี้
เช้าวันที่ 2 เมษตื่นมาพร้อมภาวนาขอให้ฟ้าเปิดสักนิด ให้เมษได้มีโอกาสชมยอดภูเขาหิมะสะท้อนน้ำสักหน่อย ก่อนเข้านอนเมื่อคืน พยากรณ์อากาศบอกว่าพรุ่งนี้จะมีฝนตกตั้งแต่ช่วง 11 โมงไปจนถึงช่วงบ่ายแก่ๆ เลย แพลนของเมษที่จะเดินขึ้นเขาเพื่อไปชมยอดภูเขาหิมะสะท้อนน้ำที่ Happo Pond นั้นกลายเป็นว่าต้องลุ้นกันเลยทีเดียว
แต่ไหนๆ ก็มาแล้ว (ตามคอนเซปต์) ยังไงเราก็ต้องลองเสี่ยงลุ้นขึ้นไปก่อน เมษตื่นแต่เช้าเพื่อไปรอ gondola ที่ Hakuba Happo-One เปิดตอน 8 โมง แล้วจะได้รีบเดินขึ้นเขาไปให้ถึงยอดก่อนที่ฝนจะมา
แผนที่เส้นทางทั้งหมด ภายใน Hakuba Happo-One
การขึ้นเขาที่นี่ประกอบไปด้วย Gondola และ Ski lift รวมกันทั้งหมด 3 ตอน เพื่อประหยัดเวลา เมษเลือกซื้อตั๋วรวมทั้งหมดแบบไปกลับ ราคาคนละ 3,300 เยน และเดินไปขึ้น gondola ขาแรกกันเลย
เมื่อ Gondola เริ่มไต่ระดับ เตรียมกล้องของคุณไว้ให้พร้อม
เช่นเคยเหมือนกับเมื่อวาน แค่ gondola เริ่มไต่ความสูง วิวที่เห็นก็สวยขึ้นทันที มุมสูงของเมืองท่ามกลางหุบเขา กับใบไม้สีส้มสีเหลืองตลอดเส้นทาง ทำให้เมษหยุดกดถ่ายรูปถ่ายวิดิโอไม่ได้เลย
สถานีแรกที่ขึ้นมาถึง จะมีตึกใหญ่มีร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านขายของที่ระลึกหลากหลายร้าน ใครจะฝากท้องก็สามารถแวะที่นี่ได้
วิวที่สถานีแรก ที่เป็นศูนย์รวมร้านค้าร้านอาหาร
ที่นี่แสงแดดยังสาดส่องให้กำลังใจ ท้องฟ้ายังปลอดโปร่ง ทำให้ใจชื้นขึ้นมานิดหน่อยว่า เราน่าจะยังมีโอกาสขึ้นไปเห็นภูเขาหิมะสะท้อนน้ำ ไม่รอช้าเมษเดินไปขึ้น ski lift ต่อที่สอง
วิวที่สถานีที่สอง เมฆสีเทาหนาทึบมาให้ลุ้น
ขึ้นมาถึง วิวแรกที่เปิดออกมาเห็นก็คือ เมฆสีเทาลอยต่ำเหนือหัว กับพื้นหลังไกลๆ ที่มีแดดส่อง เมษยังทำใจดีสู้เสือ ถ้ายังไปไม่ถึงเราจะไม่ถอดใจ ไม่รอช้ามุ่งหน้าเดินต่อไปขึ้น ski lift ต่อสุดท้าย
ขึ้นมาถึงปลายทาง สิ่งแรกที่รู้สึกได้ตั้งแต่เท้าแตะพื้นก็คือ ความหนาว ที่เห็นแดดออก แต่อากาศอยู่ที่ประมาณ 10 องศาเท่านั้นเอง เสื้อฟรีซที่ใส่มาตัวเดียว ทับด้วยเสื้อกันลมดูท่าทางจะไม่พอซะแล้ว ขอแวะใส่เสื้อเพิ่มก่อนเริ่มเดิน
ก่อนเริ่มออกเดิน คำแนะนำจากคู่สามีภรรยาชาวเอเชียเมื่อวานยังชัดเจน คุณลุงแนะนำว่า ให้เลือกเดินทางซ้ายมือ Board walk ไม่ต้องไปเดินตามคนญี่ปุ่นทางขวามือนะ ทางซ้ายมือจะเป็นทางเรียบๆ เดินง่ายกว่ามาก เค้าที่เลือกเดินตามคนญี่ปุ่นไปทางขวามือนั้น ถึงจะเป็นเส้นทางที่สั้นกว่า แต่ก็เป็นทางหินชันๆ ล้วนๆ กว่าจะปีนไปถึงข้างบนได้ ใช้พลังงานไปเยอะมาก
มาถึงจุดเริ่มเดิน เมษเลือกทางซ้ายมืออย่างไม่ลังเล ถึงแม้ว่าจะมีแต่คนญี่ปุ่นและชาวต่างชาติเดินตามกันไปทางขวามือ แต่แค่เห็นขั้นบันไดชันๆ ช่วงแรกแล้ว เมษก็คิดว่าเชื่อคุณลุงคนเมื่อวานน่าจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเองมากกว่า
เลือก Board Walk ทางซ้ายมืออย่างมั่นใจไปเลยนะ ทางขวามือไว้สำหรับเจ้าถิ่นและคนขาแข็งแรงเท่านั้น
หลังจากเดินบนทางเดินไม้กระดานที่ปูอย่างแน่นหนา วกไปวนมา ค่อยๆ เลาะเขาขึ้นไปอย่างไม่ชัน ก็เงยหน้าขึ้นไปเห็นคนญี่ปุ่นและผู้ติดตามกำลังปีนสันเขาอยู่อย่างช้าๆ เมษมองซักพักแล้วก็ได้แต่ ขอบคุณคุณลุงอยู่ในใจ เพราะความชันบนสันเขาที่คนญี่ปุ่นค่อยๆ ขึ้นไปนั้น เมษรู้ตัวเลยว่าตัวเองคงจะยืนขาสั่นอยู่ตรงนั้นแน่ๆ ถ้าเลือกเดินตามเค้าไป
วิวสองข้างทางในช่วงแรกยังคงเป็นวิวมุมสูง มองกลับลงไปยังตัวเมือง เมฆทึบหนาๆ ใหญ่ๆ ลอยอยู่รอบๆ ตัว ทำให้เมษเริ่มเร่งฝีเท้าขึ้นเพื่อหวังว่าตัวเองจะเดินสูงขึ้นไปอยู่เหนือกลุ่มเมฆนี้โดยเร็ว และข้างบนจะเจอกับท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง
เดินมาเกือบถึงระดับเมฆแล้ว
เดินไปเรื่อยๆ จนเห็นป้ายห้องน้ำอยู่ข้างหน้า นั่นแสดงว่า เราได้เดินมาเกินครึ่งทางแล้ว และทางแยกสองเส้นตอนแรกนั้นก็จะมาบรรจบกันที่ตรงนี้ เลยจากห้องน้ำมานิดหน่อย ทางจะเปิดออกเป็นลานขนาดเล็ก แล้วยอดภูเขาหิมะก็ปรากฎให้เราเห็นเป็นครั้งแรกของวัน
วิวยอดเขาหิมะแรกของวันนี้ สวยสะกดตาสุดๆ
เมษถือโอกาสแวะพัก ถ่ายรูป ดื่มน้ำ ชมวิวให้ชื่นใจ ยืนรอกลุ่มเมฆถูกพัดตามลมเผยให้เห็นยอดภูเขาหิมะเรื่อยๆ กำลังใจมาแล้ว อย่างน้อยวันนี้ไม่เสียเที่ยวที่ขึ้นมา
มัวแต่ยืนถ่ายรูป ยืนชมวิว คุณลุงแซงไปแล้ว
พักสักครู่ก็มีคุณลุงชาวญี่ปุ่นมาคนเดียวเดินแซงหน้าไป ทางเดินเริ่มเป็นพื้นหินขรุขระ มีน้ำขังเป็นบางช่วงจากหิมะที่ละลาย แต่คุณลุงก็ก้าวอย่างคล่องแคล่วผ่านไปได้อย่างง่ายดาย แต่แล้วเมฆสีเข้มก็พัดเข้ามาข้างหน้า
ทางเริ่มแฉะ ลื่น ชัน ต้องมีสติในทุกย่างก้าว
ทางเดินข้างหน้าเริ่มไม่ง่ายอีกต่อไป ต้องระวังไม่ให้ลื่นจากดินโคลนที่เกิดจากหิมะละลาย และเริ่มไต่ความสูงชันๆ บนทางหินขรุขระ
หลังจากไต่ความชันอยู่พักใหญ่ เกร็งขาจิกรองเท้าเดินหิมะลงบนหิน โคลน หรือหิมะเป็นครั้งคราว เมษก็ขึ้นมาถึงยอดเขา มีลานโล่งๆ ทอดยาวไปข้างหน้า คนที่เดินอยู่ข้างหน้าเริ่มกระจายตัวออกไปถ่ายรูปตามมุมต่างๆ เมษมองผ่านเมฆสีเทาหนาๆ ที่พัดผ่าน เห็นแนวเทือกเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะอยู่ตรงหน้า
ถึงแล้ว แผงยอดเขาหิมะตรงหน้า สวยใหญ่เต็มตามาก
เมฆสีเทาหหนาๆ ที่อยู่ตรงหน้า กับแสงแดดรำไรจากด้านหลัง ทำให้เมษตัดสินใจรอ เดินเล่น หาที่นั่ง ปล่อยให้เมฆพัดผ่านตัวเย็นๆ ซักพัก เพื่อหวังว่า แสงแดดรำไรด้านหลังจะสามารถส่องไปที่ยอดภูเขาหิมะตรงหน้าได้บ้างยามเมื่อเมฆถูกพัดออกไป แล้ววิวตระการตาด้านหลังจะได้ปรากฎออกมาให้เห็น
ยืนอยู่ซักพัก พี่คนไทยที่เจอกันที่ขายตั๋วเมื่อเช้าก็เดินเข้ามาทัก หลังจากรออยู่ครึ่งชั่วโมงแล้ว เมฆก็ไม่มีท่าทีจะเบาบางลง เค้าเลยตัดสินใจจะเริ่มเดินลงแล้ว เพราะวันนี้เค้าจะไปเก็บที่ Iwatake ต่อ กลัวไม่ทัน แต่แค่คล้อยหลังพี่คนไทยเท่านั้น ก็มีจังหวะกลุ่มเมฆสีเทาแหวกออก ทำให้แสงแดดได้ส่องไปที่ยอดภูเขาด้านหลังครั้งแรก
เมษเลยเร่งฝีเท้าไปยังทางลงเขาข้างหน้า ด้านล่างที่ยืนมองมาซักพักก็คือ Happo Pond จุดหมายปลายทางของเรานั่นเอง เมฆเริ่มเปิดแล้ว รีบเดินลงไปด้านล่างเพื่อหามุมเตรียมชมวิวภูเขาสะท้อนน้ำดีกว่า
นั่งรอไปชิวๆ ขนมพร้อม วิวหละพร้อมหรือยัง?
ระหว่างทางลงบางช่วงมีหิมะกองหนา รองเท้าเดินหิมะที่เตรียมมาได้เจาะส้นแรงๆ ลงไปบนหิมะเพื่อช่วยให้ทรงตัวเดินผ่านไปได้ พื้นหินที่ปกคลุมไปด้วยหิมะที่เริ่มละลายบางส่วนทำให้การเดินต้องช้าลงและระมัดระวังมากขึ้น
ลงมาถึงด้านล่าง กลุ่มเมฆสีเทากลุ่มใหญ่ก็เคลื่อนเข้ามาบังแสงแดดเรียบร้อย เมษหาที่นั่งสบายๆ หยิบขนมและน้ำออกมาจากกระเป๋า ไหนๆ ก็ขึ้นมาถึงบนนี้แล้ว เมษให้เวลาพี่ๆ เมฆสีเทาได้พัดผ่านไปอย่างช้าๆ รอคอยเวลาที่ฟ้าจะเริ่มเปิดวิวสวยๆ ออกมาให้ชม
เสน่ห์ของการเดินป่าก็คือ ความไม่แน่นอน หลังจากเดินป่าแบบมือใหม่มาซักพัก เมษพบว่า ความสุขที่ได้ก็คือ ความไม่แน่นอนของธรรมชาติที่รอให้เราค้นหา ธรรมชาติในวันที่เราไปอาจไม่เหมือนกับธรรมชาติในวันของคนอื่น นี่คือเสน่ห์ที่ทำให้เราต้องเริ่มเดินออกไปหา นั่งรอและใช้ความอดทน เพื่อรางวัลที่แสนจะชื่นใจ
หลังจากนั่งพัก นั่งรอ เดินเล่น เปลี่ยนมุมถ่ายรูปอยู่เกือบชั่วโมง อยู่ดีๆ กลุ่มเมฆสีเทาก็เริ่มเบาบางลง เปิดช่องให้แสงแดดเริ่มส่องไปที่ยอดภูเขาหิมะ เริ่มมีเสียงฮือฮา ผู้คนเริ่มขยับตัวเร็วขึ้น มองหามุมที่ตัวเองชอบ แล้วยกกล้องขึ้น แล้วจังหวะโชคก็ใจดีกับเมษ ยอดภูเขาเริ่มเปิดออกทีละน้อย เมษขยับไปยังมุมที่จะเห็นยอดเขาสะท้อนน้ำ และแล้วความสวยงามที่รอคอยก็ปรากฎตรงหน้า
ความอดทนอยู่ที่ไหน รางวัลก็มาหาที่นั่น
สวยเต็มตา สวยอลังการ สวยตาแตก สวยเปลืองมากๆ
ชื่นชมความงามของภูเขาหิมะสะท้อนน้ำจนเต็มอิ่ม เวลาล่วงเลยมาจน 11 โมง หนึ่งชั่วโมงเต็มที่เมษนั่งรออย่างใจเย็น ก็ทำให้ได้เห็นภาพสวยเต็มตาจนเต็มอิ่ม เสียดายแทนพี่คนไทยที่รีบลงไปก่อนเลยทีเดียว
ขากลับขึ้นมายอดเขา แดดส่อง เมฆเปิด เป็นรางวัลส่งท้าย
ขาลงพอมาถึงทางแยกที่ห้องน้ำ เมษเลือกลงทางขรุขระด้วยเห็นว่าเป็นขาลงน่าจะใช้แรงไม่มากเท่าขาขึ้น ช่วยประหยัดเวลา และยังได้วิวที่เราพลาดไปในขาขึ้นอีกด้วย
แต่หลังจากลงมาได้ซักพัก ทางหินขรุขระเริ่มชันขึ้น ทำให้สภาพขาลงเราต้องก้าวลงด้วยความสูงที่สุดระยะขา เมษเริ่มเกร็งขาเพื่อไม่ให้ขาตัวเองลงไปในซอกหินและข้อเท้าพลิก เกร็งได้ซักพักก็เริ่มเหนื่อย ไหนจะก้าวที่ชันสุดระยะขา จังหวะการก้าวที่ต้องมีแรงส่งไปเรื่อยๆ เพื่อให้การทรงตัวปลอดภัยจากอุบัติเหตุขาพลิก ทำให้เริ่มหอบหายใจ จังหวะนี้เมษได้แต่ยังคงก้าวต่อไปอย่างสม่ำเสมอเพื่อไปให้ถึงปลายทาง
วิว 360 องศา บนสันเขา ที่ขาเริ่มสั่น
และรางวัลก็มาในช่วงสุดท้ายที่ยืนอยู่บนสันเขา ทางเดินเริ่มเป็นลักษณะขั้นบันได แต่ความชันยังไม่ลดลง แต่วิวกว้างๆ 360 องศารอบตัวทำให้เห็นภูเขาได้เต็มตา
เมษใช้เวลาขาลง 1 ชั่วโมง เพื่อมาถึงสถานีสุดท้ายของ ski lift และได้เริ่มพักขายาวลงไปจนถึงสถานีแรก เพื่อฝากท้องมื้อเที่ยงไว้ที่ร้านอาหารพร้อมวิวที่นี่
พอเมฆเปิด แดดออก ไม่ว่ามุมไหน ก็สวยชื่นใจไปหมด
ที่ข้างล่างนี้ ฟ้าเปิด แดดออกสดใส มื้อเที่ยงง่ายๆ กับวิวกว้างๆ เป็นรางวัลที่ดีสำหรับเช้านี้
ทานมื้อเที่ยงเสร็จ เมษก็เดินกลับโรงแรม เช็คเอ้า และไปรอรถบัสเข้า Nagano และต่อรถไฟเข้า Tokyo เย็นนี้เลย พยากรณ์อากาศที่ทำใจไม่ดีตั้งแต่เมื่อคืน ได้ให้รางวัลกับความพยายามที่จะไปให้ถึงของเมษ ได้เห็นวิวภูเขาหิมะสะท้อนน้ำที่ยอดเขา และอยู่ๆ ตอนบ่ายสองกว่าๆ ที่เมษนั่งรอรถบัสอยู่ที่สถานี ฝนก็เทลงมาอย่างหนักแบบมืดฟ้ามัวดิน โชคดีแค่ไหนที่เช้านี้พยายามไปให้สุดจนได้รับรางวัลดีๆ กลับมา
แล้วพบกันใหม่ ซีรี่ย์ภูเขาครั้งหน้าที่ไหน คอยติดตามนะคะ
Hakuba
วันที่ 1
Hakuba Iwatake Mountain Resort
วันที่เดินทาง : 24.10.2023
วันที่ 2
Hakuba Happo-One
วันที่เดินทาง : 25.10.2023
เส้นทาง : Happo Gondola Adam - Alpen Quad Lift - Grat Quad Lift - Happo Pond
Alpico Bus
เส้นทาง : Nagano - Hakuba
โฆษณา