15 ก.พ. เวลา 07:39 • ไลฟ์สไตล์

แม่ของลูกวัยรุ่น ไม่ง่ายนะ

ฉันโชคดีที่มีโอกาสได้เลี้ยงลูกเองตั้งแต่ลูกเกิด ฉันเอาประสบการณ์ทั้งหมดของฉันตั้งแต่เล็กจนโตมาใช้ ตลอดจนความรู้จากหนังสือ การทำวิจัยตอนเรียนป.โทรวมถึงการทำวิทยานิพนธ์เรื่องการสื่อสารในครอบครัว มีผลต่อการเลี้ยงลูกของฉันทั้งหมด
โชคดีที่ลูกเป็นเด็กเลี้ยงง่าย โชคดีที่ฉันได้รับการสนับสนุนของสามีและพ่อแม่ของเราทั้งสองฝ่ายทำให้ฉันดูแลลูกด้วยจิตใจ อารมณ์ ที่มั่นคง เป็นบวก สภาวะแวดล้อมของฉันตอนที่ลูกเกิดมาค่อนข้างเกื้อกูลให้ฉันภาคภูมิใจได้ว่าฉันเลี้ยงลูกได้ดีอย่างน่าทึ่ง การตอบสนองเชิงบวกของลูกในพัฒนาการทุกด้านมันทำให้ฉันไม่เคยสงสัยในความสัมพันธ์ของฉันและลูกสาวเลย จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้...
ฉันเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ของเราแม่ลูก
ลูกสาวของฉันเริ่มเป็นวัยรุ่น (อายุ 14) นางก็เริ่มมีเพื่อนเยอะขึ้น และคุยกับเพื่อนต่างเพศ เวลาของเราแม่ลูกก็น้อยลงๆ ในขณะที่ลูกก็เริ่มเรียนเยอะขึ้น มีกิจกรรมเยอะขึ้น
ฉันเข้าใจดีว่าเป็นเรื่องปกติ ธรรมดา ลูกกำลังเรียนรู้และเติบโต
เราแม่ลูกก็ไม่ได้ใกล้ชิดกันเหมือนก่อน ฉันต้องทำใจ และยอมรับมัน
ยอมรับว่าฉันไม่ได้เป็นโลกใบใหญ่ของลูกอีกต่อไป อาจไม่ได้เป็น favorite person ของลูกอีกต่อไป
ช่วงเวลานี้ จิตใจฉันเปราะบางจัง อ่อนไหวจนบางทีเผลอบ่นหรือหงุดหงิดกับเรื่องเล็กๆน้อยๆ เช่น ลูกเล่น social ในมือถึอมากไป คุยกับเพื่อนนานจัง ทำไมไม่เก็บของ ไม่จัดห้องเสียที มารยาทการทานอาหาร !!! ฯลฯ
ฉันคงบ่นมากไป และเริ่มเห็นว่าลูกไม่ชอบ เริ่มเห็นว่าตัวเองเริ่ม"เยอะ"ไปแล้วนะ เมื่อวานนี้
เหตุการณ์มันเริ่มที่โต๊ะอาหารตอนเย็น
ฉันหงุดหงิดมาตั้งแต่ตอนเข้าร้านอาหารแล้ว
ลูกคุยmessage กับเพื่อนตลอด ตอบคำถามพ่อกับเแม่บ้าง และบอกว่าขอเวลาแป๊บ คุยกับเพื่อนจะเสร็จแล้ว สองสามครั้ง
แต่ฉันยังคงไม่ว่าอะไร อดทน
จนอาหารมาเสริฟ ลูกรับประทานอย่างเอร็ดอร่อย
แต่มารยาทการกินต้องปรับปรุง ฉันเตือนลูกหลายครั้งแล้วในเรื่องนี้แต่ลูกยังกินมูมมามเหมือนเดิม เอาล่ะ อารมณ์ของฉันก็กำลังกรุ่นได้ที่เลย
ฉันบอกลูกว่า “ลูก ลูกกินตรงข้ามกับนางเอกเลย” (เคยบอกลูกว่าแม่อยากให้ลูกมีมารยาทงามเหมือนนางเอกโสนน้อยเรือนงาม ไม่ใช่นางกุลา)
คำพูดนี้ลูกคงไม่ชอบมากๆ เพราะฉันเห็นว่าลูกเศร้าและหลบตาฉันทันที
ฉันรู้สึกผิดนิดหน่อยที่ทำให้ลูกไม่ชอบ แต่ก็ไม่หยุดพูดต่อว่า “แม่เคยบอกลูกเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว”
ลูกตอบกลับว่า “แม่รู้ความแตกต่างระหว่าง insult กับ criticize ใช่ไหม”
แม่ถามด้วยความรู้สึกสะอึกเล็กน้อย “ยังไง” พร้อมคิดในใจว่า ฉันคงว่าลูกแรงไป
ลูกอธิบายความแตกต่าง พร้อมบอกว่า "ที่แม่พูดว่ากินตรงข้ามกับนางเอกมันเป็น insult ลูกอยากให้แม่ criticize มากกว่า เพราะ insult เป็น negative feedbacks ที่ไม่ได้ทำให้หนูรู้ว่าควรแก้ไขอย่างไร และแม่ไม่ควรเปรียบเทียบด้วย”
แม่เริ่มมือชานิดหน่อยรู้สึกโกรธตะหงิดๆ ปนกับรู้สึกแย่ที่ทำให้ลูกรู้สึกแย่
แต่ก็บอกลูกเพิ่มเติมว่า “ก็เป็นเรื่องจริงนิ การเปรียบเทียบเป็นเรื่องปกติที่เวลาเราเขียนstory หรืออธิบายเราต้องมีการเปรียบเทียบ บรรยายให้เห็นภาพ แม่ต้องการสะท้อนให้เห็นจริงๆว่ากิริยาที่ลูกทำตอนนี้มันตรงข้ามกับนางเอก เห็นไหม มันเลอะปาก เลอะเสื้อแล้ว”
"แม่ก็บอกสิคะว่า เลอะเสื้อ หนูจะได้รู้ แม่อาจบอกว่า ช่วยกินดีๆหน่อยได้ไหม แบบนี้หนูจะได้รู้ว่าต้องทำอย่างไร”
ถึงแม้ว่าสิ่งที่ลูกพูดมามีเหตุผล แต่ด้วยทิฐิ ฉันไม่ยอมลูก ยังเถึยงลูกไปว่า “ที่แม่พูดแบบนั้นเพราะต้องการสะท้อนให้ลูกเห็นว่ากิริยาที่ลูกทำอยู่นั้นมัน negative จริงๆ"
ลูกเถึยงกลับว่า "งั้นแม่ก็บอกหนูสิว่า ช่วยกินดีๆ หน่อย เพราะนี่เป็นคำพูดที่ทำให้หนูแก้ไขและพัฒนาได้"
ฉันเถึยงลูกกลับไปว่า "เมื่อรู้ว่าคำพูดแม่ negative แสดงว่าควรต้องรู้แล้วนะว่าการกระทำของลูกมัน negative ลูกควรหยุดกิริยา negative แล้วหนูก็จะไม่ต้องฟังคำ negative จากแม่อีก”
ตอนนี้สติฉันหลุดแล้ว คือหมดกันความเป็นแม่ที่ positive มา 13-14 ปี ตอนนี้มนุษย์แม่เริ่มรวน ใช้คำว่า negative เยอะไปไหม แอบบอกตัวเองในใจ แต่ในเมื่อเขื่อนแตกแล้ว ....ฉันยัง ยังไม่หยุด ยังเสริมต่อไปว่า
“ในโลกนี้มี negaive อยู่มากมายรอบตัว ลูกต้องเข้าใจและเริ่มคุ้นชินกับมันบ้างนะ”
ลูกตอบว่า “หนูพยายามหลีกเลี่ยงและไม่เข้าใกล้ negative งัยคะ”
เออดี ลูกสาวพูดถูก แม่คิด แต่ความเป็นแม่ที่สติหลุดเพราะลูกมันเถียงคำไม่ตกฟากฉันแถต่อว่า “งั้นลูกก็ต้องเริ่มที่ตัวลูกนะ หากลูกกินดีๆเรียบร้อย ลูกก็จะไม่ได้รับ คำตำหนิ negative จากแม่ไง ใช่ไหมละ”
ลูกเงียบ...
คือฉันเข้าใจ logic ลูกนะ แต่อารมณ์ตอนนั้นมันรู้สึกแย่ที่ลูกรู้สึกแย่กับเรา รู้สึกเหมือนว่าลูกไม่ appreciate เรา เลยบอกความในใจกับลูกไปหมด ความเป็นมนุษย์แม่ที่ too emotional and sensitive เลยทำให้บทสนทนาเมื่อคืนเต็มไปด้วย negativity ทั้งๆที่ 13 ปีที่ผ่านมาฟูมฟักเค้าด้วย positive reasoning มาโดยตลอด
แต่สุดท้ายลูกก็เข้าใจแม่มากขึ้น ลูกมีความเป็นผู้ใหญ่มาก ก็ภูมิใจในจุดนี้ แล้วตอนกลับบ้านนางเข้ามาคุย soicial กับเพื่อนข้างๆ ฉัน ให้ฉันได้มีส่วนร่วมด้วย แล้วเราก็หัวเราะคิกคักกัน
สรุป ฉันก็แค่อยากเป้นคนสำคัญของลูก อยู่ใน circle ของเค้า ลูกเข้าใจเรามากขึ้น
เราเข้าใจลูกอยู่แล้วล่ะ แต่ที่ดุลูกเพราะเห็นการเปลี่ยนแปลงไง กลัวลูกติดเพื่อน ติดแฟน ติดsocial
แต่ฉันก็ผิดแหละที่ใช้ negativity ในการเตือนลูก เพราะงั้นฉันตั้งปฏิญานว่าไม่ว่าจะเดือดแค่ไหนจะอดทนไม่บ่น/ตำหนิลูก ด้วย negativity อีก
จำไว้มนุษย์แม่
โฆษณา